
พระภาวนาพิศาลเมธี วิ.
ประเสริฐ มันตเสวี ป.ธ. 8
เผยแผ่หลักปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา แนวธัมมานุสารี (สติปัฏฐาน พอง-ยุบ)
พระราชาคณะชั้นสามัญเปรียญ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ
ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดพิชยญาติการามวรวิหาร คลองสาน กรุงเทพมหานคร
พระวิปัสสนาจารย์สอน หลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิปัสสนาภาวนา
มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส นครปฐม
ศูนย์ปฏิบัติธรรม”ธรรมโมลี” ถนนธนะรัชต์-เขาใหญ่ ต.หนองน้ำแดง อ.ปากช่อง. จ.นครราชสีมา 30130
การเดินทาง : รถตู้หมอชิต – ปากช่อง ส่งที่สำนักปฏิบัติธรรมธรรมโมลี 350 บาท
สถานะเดิม
ชื่อเดิม พระมหาประเสริฐ มนฺตเสวี (พรหมจันทร์) พรรษา ๒๓ อายุ ๔๓ ปี
บรรพชา : ๑๑ มิถุนายน ๒๕๓๕ ณ วัดราษฎร์บำรุง อ.ระโนด จ.สงขลา โดยมี พระครูปกาศิตพุทธศาสตร์ เป็นพระอุปัชฌาย์
อุปสมบท : ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๔๓ ณ พัทธสีมาวัดราษฎร์บำรุง อ. ระโนด จ.สงขลา โดยมี พระครูศรีคณาภิรักษ์ เป็นพระอุปัชฌาย์
การศึกษา
นักธรรมชั้นเอก (พ.ศ.๒๕๓๘) วัดราษฎร์บำรุง อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา
ป.ธ. ๘ (พ.ศ.๒๕๔๖) วัดมหาสวัสดิ์นาคพุฒาราม อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม,
ปริญญาตรี พุทธศาสตรบัณฑิต (พธ.บ.) บาลีพุทธศาสตร์ เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง) มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส นครปฐม รุ่นที่ ๕๐ ปีการศึกษา ๒๕๔๖
ปริญญาโท พุทธศาสตรมหาบัณฑิต (พธ.ม.) วิปัสสนาภาวนา วิทยานิพนธ์ ระดับ ดี (good) มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส นครปฐม ๑ เมษายน ๒๕๕๒
การปฏิบัติภาวนา
พ.ศ. ๒๕๕๑ ปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาเป็นเวลา ๗ เดือนเต็ม ณ สำนักปฏิบัติธรรม วัดงุยเตาอูกัมมัฏฐาน รัฐฉานตะวันออก ประเทศเมียนมาร์ ฝึกฝนอบรมโดย สยาดอภัททันตวิโรจนะ มหาคันถวาจกบัณฑิต มหากัมมัฏฐานาจริยะ เจริญสติปัฏฐาน ๔ นั่งภาวนาและเดินภาวนา สลับกัน วันละ ๑๕ ชั่วโมง งดพูด-คุยในเวลาปฏิบัติอย่างเด็ดขาด
การสอนปริยัติธรรม
พ.ศ. ๒๕๔๗ ครูสอนปริยัติธรรม วัดมหาสวัสดิ์นาคพุฒาราม
พ.ศ. ๒๕๕๑ – ปัจจุบัน อาจารย์พิเศษสอนหลักสูตรปกาศนียบัตร “วิปัสสนาภาวนา”
พ.ศ. ๒๕๕๒ อาจารย์พิเศษ บัณฑิตวิทยาลัย วิทยาเขตบาลีศึกษาพุทธโฆส นครปฐม สาขาวิชาวิปัสสนาภาวนา
พ.ศ. ๒๕๕๖ – ปัจจุบัน วิปัสสนาจารย์สอนหลักสูตร ทดสอบก่อนเข้าเรือน ๑ เดือน ปริญญาโท สาขาวิชาวิปัสสนาภาวนา ศูนย์บัณฑิตศึกษา วิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส นครปฐม
พ.ศ. ๒๕๕๔ – ปัจจุบัน อาจารย์สอนหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิปัสสนาภาวนา ศูนย์บัณฑิตศึกษา วิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส นครปฐม
พ.ศ. ๒๕๕๘ – ปัจจุบัน พระวิปัสสนาจารย์หลักสูตรวิปัสสนาภาวนา ๗ เดือน ประจำหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิปัสสนาภาวนา ศูนย์บัณฑิตศึกษา วิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส นครปฐม
งานเผยแผ่ ภายในประเทศ
พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นพระวิปัสสนาจารย์อบรมโครงการนำวิปัสสนากรรมฐานสู่พระนวก ณ วัดท้องคุ้ง อำเภอพระประแดงจังหวัดสมุทรปราการ ๒๕ – ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๑
พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นพระวิทยากรอบรมโครงการ“ฝึกอบรมผู้นำเยาวชนยุคใหม่ใฝ่ใจคุณธรรม” ณ ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนสิรินธร อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม
พ.ศ. ๒๕๕๒ เป็นพระวิปัสสนาจารย์ฝึกอบรมวิปัสสนากัมมัฏฐานตามโครงการอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๒ ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรม “ธรรมโมลี” ตำบลหนองน้ำแดง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็นพระวิปัสสนาจารย์ สอนวิปัสสนากรรมฐานในโครงการวิปัสสนาภาวนาโดยพระวิปัสสนาจารย์วัดพิชัยญาติ ระหว่างวันที่ ๒๖ – ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ จำนวนผู้เข้าอบรมทั้งหมด ๘๘ คน ณ ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ซอยเพชรเกษม ๕๔ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร
พ.ศ. ๒๕๔๔ เป็นพระวิปัสสนาจารย์ ในการฝึกอบรมพระวิปัสสนาจารย์ ตามหลักสูตรการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ในเขตปกครองคณะสงฆ์หนตะวันออก ณ วัดประสิทธิเวช ตำบลบางปลากด อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก ระหว่างวันที่ ๒๕ เมษายน – ๘ มิถุนายน ๒๕๕๔
พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นพระวิปัสสนาจารย์ สอนวิปัสสนากรรมฐานในโครงการวิปัสสนาภาวนา โดยมหาบัณฑิต สาขาวิปัสสนาภาวนา ระหว่างวันที่ ๑๙ – ๒๖ กรกฏาคม ๒๕๕๔ จำนวนผู้เข้าอบรมทั้งหมด ๕๗ คน ณ ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ซอยเพชรเกษม ๕๔ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร
พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นพระวิปัสสนาจารย์ ในการฝึกอบรมวิปัสสนากรรมฐาน ตามโครงการฝึกอบรมวิปัสสนากรรมฐาน ขั้นพื้นฐาน เพื่อสร้างศรัทธาและวิริยะของพระภิกษุสามเณร ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรม “ธรรมโมลี” ตำบลหนองน้ำแดง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ระหว่างวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ – ๑๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๕
พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นพระวิปัสสนาจารย์ โครงการฝึกอบรมพระวิปัสสนาจารย์ (ปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ) แก่พระสังฆาธิการระดับต่างๆ และพระสงฆ์ที่มีศรัทธา สำหรับคณะสงฆ์ภาค ๑๘ จำนวน ๘๕ รูป ณ วัดภูเขาหลวง ตำบลทุ่งหวัง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา ระหว่างวันที่ ๑ พฤษภาคม – ๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๕
พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นพระวิปัสสนาจารย์ อบรมโครงการปฏิบัติธรรม วิปัสสนากรรมฐานหลักสูตร “จิตตภาวนา” สำหรับสาธุชนทั่วไป ระหว่างวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ถึง ๒ มิถุนายน ๒๕๕๖
พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นพระวิปัสสนาจารย์ โครงการทดสอบปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานก่อนเข้าศึกษาหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิปัสสนาภาวนา(รุ่นที่ ๙) ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรม “ธรรมโมลี” ตำบลหนองน้ำแดง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ระหว่างวันที่ ๒๐ มิถุนายน – ๒๐ กรกฏาคม ๒๕๕๖
พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นพระวิปัสสนาจารย์ สอนวิปัสสนากรรมฐานในโครงการปฏิบัติธรรมฉลองวัน อาสาฬหบูชา ระหว่างวันที่ ๒๐ – ๒๒ กรกฏาคม ๒๕๕๖ จำนวนผู้เข้าอบรมทั้งหมด ๓๐๙ คน ณ ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ซอยเพชรเกษม ๕๔ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร
พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นพระวิปัสสนาจารย์ โครงการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ๗ เดือน ประจำปีการศึกษา ๒๕๕๖ สำหรับนิสิตหลักสูตรพุทธศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาวิปัสสนาภาวนา ระหว่างวันที่ ๒๓ กรกฏาคม ๒๕๕๖ ถึง วันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรม “ธรรมโมลี” ตำบลหนองน้ำแดง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นพระวิปัสสนาจารย์ สอนวิปัสสนากรรมฐานในโครงการวิปัสสนาภาวนามหาบัณฑิต ระหว่างวันที่ ๑๕ – ๒๒ กันยายน ๒๕๕๖ จำนวนผู้เข้าอบรมทั้งหมด ๖๐ คน ณ ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ซอยเพชรเกษม ๕๔ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร
พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นพระวิปัสสนาจารย์ โครงการทดสอบปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานก่อนเข้าศึกษาหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิปัสสนาภาวนา (รุ่นที่ ๑๐) เป็นเวลา ๑ เดือน ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรม “ธรรมโมลี” ตำบลหนองน้ำแดง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ระหว่างวันที่ ๑–๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๗
พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นพระวิทยากรบรรยาย โครงการประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการพระวิปัสสนาจารย์เรื่อง แนวทางการสอนปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักมหาสติปัฏฐานสูตร วันเสาร์ ที่ ๕ กรกฏาคม ๒๕๕๗ ณ พระอุโบสถวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นวิปัสสนาจารย์ ฝึกอบรมวิปัสสนากรรมฐาน โครงการสนับสนุนกิจกรรมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ภายใต้กองทุนการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ระหว่างวันที่ ๑๐–๑๓ กันยายน ๒๕๕๗ ณ อาคารพิพิธภัณฑ์ สำนักงานพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม
พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นพระวิปัสสนาจารย์ แสดงธรรมและสอบอารมณ์ทุก ๆ วัน โครงการ “บวชเนกขัมมบารมี ๕ วัน ปัญญาบารมี ชีวีเป็นสุข” จำนวนผู้ปฏิบัติ ๒๐ คน ระหว่างวันที่ ๙ – ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๘ ณ วัดปัญญานันทาราม ตำบลคลองหก อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี
พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นพระวิปัสสนาจารย์ แสดงธรรมและสอบอารมณ์ทุก ๆ วัน โครงการทดสอบปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานก่อนเข้าศึกษาหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิปัสสนาภาวนา (รุ่นที่ ๑๑) เป็นเวลา ๑ เดือน ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรม “ธรรมโมลี” ตำบลหนองน้ำแดง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ระหว่างวันที่ ๑–๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๘
พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นพระวิปัสสนาจารย์ สอนวิปัสสนากรรมฐานในโครงการหลักสูตรวิปัสสนาภาวนา โดยพระภาวนาพิศาลเมธี วิ ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๘ จำนวนผู้เข้าอบรมทั้งหมด ๘๐ คน ณ ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ซอยเพชรเกษม ๕๔ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร
พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นพระวิทยากรบรรยาย โครงการประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการพระวิปัสสนาจารย์เรื่อง แนวทางการสอนปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักมหาสติปัฏฐานสูตร วันเสาร์ ที่ ๔ กรกฏาคม ๒๕๕๘ ณ พระอุโบสถวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นพระวิปัสสนาจารย์ แสดงธรรมและสอบอารมณ์ โครงการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ๗ เดือน หลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิปัสสนาภาวนา (รุ่นที่ ๑๐) เป็นเวลา ๗ เดือน จำนวน ๖๐ รูป/คน ระหว่างวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ถึง วันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรม “ธรรมโมลี” ตำบลหนองน้ำแดง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
พ.ศ. ๒๕๕๙ เป็นพระวิปัสสนาจารย์ สอนวิปัสสนากรรมฐานในโครงการ หลักสูตรจิตตภาวนา โดยพระภาวนาพิศาลเมธี วิ ระหว่างวันที่ ๑๒ – ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ จำนวนผู้เข้าอบรมทั้งหมด ๕๐ คน ณ ยุวพุทธฯ เฉลิมพระเกียรติ ๑๙ หมู่ ๑๖ ตำบลคลองสาม อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี
พ.ศ. ๒๕๕๙ เป็นพระวิปัสสนาจารย์ แสดงธรรมและสอบอารมณ์ทุก ๆ วัน โครงการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานหลักสูตร ๗ วัน ประจำปี จำนวนผู้ปฏิบัติ ๑๕๐ รูป/คน ระหว่างวันที่ ๒๐ – ๒๖ เมษายาน ๒๕๕๙ ณ วัดมหาธาตุวรมหาวิหาร ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครีธรรมราช
พ.ศ. ๒๕๕๙ เป็นพระวิปัสสนาจารย์ แสดงธรรมและสอบอารมณ์ทุก ๆ วัน โครงการทดสอบปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานก่อนเข้าศึกษาหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิปัสสนาภาวนา (รุ่นที่ ๑๒) เป็นเวลา ๑ เดือน จำนวน ๖๐ รูป/คน ระหว่างวันที่ ๑–๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรม “ธรรมโมลี” ตำบลหนองน้ำแดง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
พ.ศ. ๒๕๕๙ เป็นพระวิปัสสนาจารย์ แสดงธรรมและสอบอารมณ์ โครงการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ๗ เดือน หลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิปัสสนาภาวนา (รุ่นที่ ๑๑) เป็นเวลา ๗ เดือน จำนวน ๖๐ รูป/คน ระหว่างวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ถึง วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรม “ธรรมโมลี” ตำบลหนองน้ำแดง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นพระวิปัสสนาจารย์ สอนวิปัสสนากรรมฐานในโครงการ หลักสูตรจิตตภาวนา โดยพระภาวนาพิศาลเมธี วิ ระหว่างวันที่ ๑๗ -๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ จำนวนผู้เข้าอบรมทั้งหมด ๕๐ คน ณ ยุวพุทธฯ เฉลิมพระเกียรติ ๑๙ หมู่ ๑๖ ตำบลคลองสาม อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี
พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นพระวิปัสสนาจารย์ แสดงธรรมและสอบอารมณ์ทุก ๆ วัน โครงการทดสอบปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานก่อนเข้าศึกษาหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิปัสสนาภาวนา (รุ่นที่ ๑๓) เป็นเวลา ๑ เดือน จำนวน ๖๐ รูป/คน ระหว่างวันที่ ๑–๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรม “ธรรมโมลี” ตำบลหนองน้ำแดง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นพระวิปัสสนาจารย์ สอนวิปัสสนากรรมฐานในโครงการ วิปัสสนากรรมฐาน โดยพระภาวนาพิศาลเมธี วิ ระหว่างวันที่ ๒ -๙ กรกฎาคม ๒๕๖๐ จำนวนผู้เข้าอบรมทั้งหมด ๖๗ คน ณ ยุวพุทธฯ เฉลิมพระเกียรติ ๑๙ หมู่ ๑๖ ตำบลคลองสาม อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี
พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นพระวิปัสสนาจารย์ สอนวิปัสสนากรรมฐานในโครงการ หลักสูตรจิตตภาวนา โดยพระภาวนาพิศาลเมธี วิ ระหว่างวันที่ ๑๗ -๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ จำนวนผู้เข้าอบรมทั้งหมด ๕๐ คน ณ ยุวพุทธฯ เฉลิมพระเกียรติ ๑๙ หมู่ ๑๖ ตำบลคลองสาม อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี
พ.ศ. ๒๕๖๒ เป็นพระวิปัสสนาจารย์ แสดงธรรม และสอบอารมณ์ทุก ๆ วัน โครงการทดสอบปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานก่อนเข้าศึกษาหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิปัสสนาภาวนา (รุ่นที่ ๑๕) เป็นเวลา ๑ เดือน จำนวน ๖๐ รูป/คน ระหว่างวันที่ ๑–๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรม “ธรรมโมลี” ตำบลหนองน้ำแดง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
พ.ศ. ๒๕๖๒ พระวิปัสสนาจารย์ แสดงธรรมและสอบอารมณ์ โครงการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ๗ เดือน หลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิปัสสนาภาวนา (รุ่นที่ ๑๔) เป็นเวลา ๗ เดือน จำนวน ๖๐ รูป/คน ระหว่างวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๒ ถึง วันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๒ ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรม “ธรรมโมลี” ตำบลหนองน้ำแดง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
พ.ศ. ๒๕๖๓ – ปัจจุบัน พระวิปัสสนาจารย์ประจำศูนย์ปฏิบัติธรรม “ธรรมโมลี (เขาใหญ่)” ถนนธนรัชต์ ตำบลหนองน้ำแดง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
พ.ศ. ๒๕๖๓ – ปัจจุบัน พระวิปัสสนาจารย์ หลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิปัสสนาภาวนา เป็นเวลา ๗ เดือนเต็ม จำนวน ๖๐- ๗๐ รูป/ ทุกๆ ปี ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรม “ธรรมโมลี” ตำบลหนองน้ำแดง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา พ.ศ. ๒๕๖๓ – ปัจจุบัน เปิดสอนหลักสูตร “เมตตาเจโตวิมุตติขั้นสูง” แก่ผู้ปฏิบัติธรรมที่เคยผ่านหลักสูตรปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ๗ เดือนมาแล้ว ควบคู่ไปกับการสอนสติปัฏฐานภาวนาเป็นเวลา ๗ เดือนเต็ม จำนวน ๖๐- ๗๐ รูป/ ทุกๆ ปี ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรม “ธรรมโมลี” ตำบลหนองน้ำแดง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
งานเผยแผ่ ในต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๖๑ ได้รับนิมนต์จาก พระชาตรี เหมพนฺโธ (ศ.ดร.) สอนวิปัสสนาภาวนาแก่ชาวรัสเซีย เป็นเวลา ๑ พรรษา ณ Wat Abhidhamma Buddhavihara เมืองเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก ประเทศรัสเซีย
Address : Russia, Saint Petersburg, Gorelovo, Dachnaya sSreet., 182
Spiritual Director : Professor Dr.Phra Chatree Hemapandha President of Theravada Buddhist Community of Russia
Phone : 8-812-421-07-24
Website http://www.buddhavihara.ru
https://www.facebook.com/Dr.Chatree
Biography of Insight Meditation Master
Name : Phra Bhavanaphisanmethi Vi. (Prasert Promchan), Pāli VIII, M.A.
Date of Birth : March 28, 1979. (The eldest brother of Six brothers and sisters)
Place of Birth : Siriraj Hospital, Bangkok, Thailand.
Father : ManusPromchan Mother : Somchit Promchan (Chankeaw)
Novice Ordination : June 11, 1992 at Rajbamrung Temple, Ranot, Songkhla, Thailand. By Phrakru Pakasitbuddhasat as preceptor.
Higher Ordination : July 14, 2000 at Rajbamrung Temple, Ranot, Songkhla, Thailand. By Phrakru Srikanabhirak as preceptor.
Education : 1995, Dhamma Scholar, Advanced Level, Rajbamrung Temple, Ranot, Songkhla, Thailand.
: 2003, Pāli VIII, Wat Mahasawat Nak Phuttharam, Phutthamonthon, Nakhon Pathom, Thailand.
: 2003, Bachelor of Arts in Pali Buddhism (B.A. in Pali Buddhism,with a first-class honors) Mahachulalongkornrajavidyalaya University, Palisuksa Buddhagosa Campus, Nakhon Pathom.
: 2009, Master of Arts in Vipassana Meditation (M.A. in Vipassana Meditation, with The Good Thesis Award) Mahachulalongkornrajavidyalaya University, Palisuksa Buddhagosa Campus, Nakhon Pathom.
Meditations Experience
: 2008, 7 Months, Advance Insight Meditation Course at Ngwe Taung Oo Meditation Center, Tachilek, Shan State, Myanmar. instructed by Sayadaw Bhaddantavirojana
Mahaganthavajakapundit.
Jobs Experience : Currently, Assistant abbot of Wat Phitchaya Yatikaram Worawiharn, Khlong San, Bangkok, Thailand.
: 2011 – Currently,Lecturer of Program Master of Arts in Vipassana Meditation. According to MCU Announcement no. 333/2554
: 2015 – Currently,7 Months Meditation Master of Program Master of Arts in Vipassana Meditation,
Mahachulalongkornrajavidyalaya University, Palisuksa Buddhagosa Campus, Nakhon Pathom.
Contact : Mahachulalongkornrajavidyalaya University, Palisuksa Buddhagosa Campus, Wat Mahasawat Nak Phuttharam, Phutthamonthon, Nakhon Pathom, Thailand, 73170.
: Email : pm.montasavi@gmail.com
: Facebook : www.facebook.com/pm.montasavi/
Ничто не постоянно. Все возникает на мгновение, а потом исчезает.
“Когда [в практике випашьяны] происходит подъем [стенок живота при вдохе], ум отслеживает это, и таким образом объект и ум сосуществуют вместе. Когда происходит падение [стенок живота при выдохе], ум отслеживает это, и таким образом объект и ум сосуществуют вместе. В каждый момент отслеживания всегда существует пара, объект и ум, знающий объект. Эти два элемента, – материальный объект и знающий ум, – всегда возникают в паре, и кроме них двух, нет никаких других вещей в форме личности или “я”. Эта реальность будет в свое время осознана каждым лично.
При продолжении практики, через некоторое время произойдет значительный прогресс осознанности и сосредоточения. На этом высоком уровне можно будет воспринимать, что в каждом случае отслеживания, каждый процесс возникает и исчезает в сам этот момент. Но с другой стороны, необученные люди считают, что тело и ум остаются в неизменном состоянии на протяжении жизни, что одно и то же тело выросло с детства до взрослого состояния, что один и тот же юный ум дорос до зрелости… На самом деле это не так. Ничто не постоянно. Все возникает на мгновение, а потом исчезает. Ничто не может оставаться неизменным даже на мгновение. Изменения происходят очень быстро, и они будут восприняты в свое время.
Выполняя созерцание, отслеживая “подымается, опускается”, и так далее, йогин воспринимает, что эти процессы возникают и исчезают, быстро следуя один за другим. Восприняв, что все происходит в сам момент отслеживания, йогин знает, что ничто не постоянно. Это знание о непостоянной природе вещей – “аниччанупассана-ньяна”, созерцательное знание непостоянства.
Тогда йогин знает, что это постоянно изменяющееся состояние вещей причиняет страдания и его не стоит желать. Это “дуккханупассана-ньяна”, созерцательное знание страдания. Когда он испытал так много болезненных ощущений, то считает этот комплекс ума и тела всего лишь скоплением страданий. Это тоже созерцательное знание страдания.
Тогда он воспринимает, что элементы материи и психики никогда не следуют желаниям, а возникают в соответствии со своей собственной природой и обусловленностью. Занимаясь отслеживанием этих процессов, йогин понимает, что эти процессы неуправляемы, и что они не являются ни личностью, ни живой сущностью, ни “я”. Это “анаттанупассана-ньяна”, созерцательное знание безличности.
Когда йогин полностью развивает знание непостоянства, страдания и безличности, он достигает Ниббаны. С незапамятных времен Будды, Архаты и Арии (Благородные) достигали ниббаны этим методом випассаны. Это прямая дорога, ведущая к Ниббане. Випассана состоит их четырех “сатипаттхана”, приложений осознанности, и в действительности именно “сатипаттхана” служит столбовой дорогой к Ниббане.”
Махаси Саядо
Медитация Сатипаттхана Випассана
เขียนตำราวิชาการ
เอกสารวิชาการประกอบการสอนหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิปัสสนาภาวนา ศูนย์บัณฑิตศึกษาวิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส นครปฐม มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
พ.ศ. ๒๕๕๐ ดัชนีศัพท์ ค้นความพระไตรปิฎก ๙๑ เล่ม, เอกสารประกอบการสอนและการศึกษาสาขาบาลีพุทธศาสตร์ ในวิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส นครปฐม , ๒๕๕๐.
พ.ศ. ๒๕๕๐ พจนานุกรมไทย-บาลี ฉบับแรกของโลก, เอกสารประกอบการสอนและการศึกษาสาขาบาลีพุทธศาสตร์ ในวิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส นครปฐม, ๒๕๕๐.
พ.ศ. ๒๕๕๓ ศึกษาวิเคราะห์การเจริญวิปัสสนาภาวนาในคัมภีร์พุทธศาสนาและวิธีการรักษาคุ้มครองพระพุทธศาสนาในยุคปัจจุบัน,ตำราประกอบการสอนหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิตสาขาวิชาวิปัสสนาภาวนา ศูนย์บัณฑิตศึกษา วิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส นครปฐม มจร. ๒๕๕๓.
พ.ศ. ๒๕๕๔ ศึกษาวิเคราะห์หลักปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ๗ เดือนในคัมภีร์พุทธศาสนาเถรวาท , ตำราประกอบการสอนหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิปัสสนาภาวนาวิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส นครปฐม ๒๕๕๔
พ.ศ. ๒๕๕๔ ลำดับการสอนวิปัสนาภาวนา หลักสูตร ๑ เดือน, ตำรา (ลับ) ประกอบการสอนหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิปัสสนาภาวนา ศูนย์บัณฑิตศึกษา วิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส นครปฐม ๒๕๕๔.
พ.ศ. ๒๕๕๔ เขียนตำรา “คู่มือวิปัสสนาจารย์” (หนา ๑๐๔๒ หน้า) ตำรา (ลับ) ประกอบการสอนหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิตสาขาวิชาวิปัสสนาภาวนา ศูนย์บัณฑิตศึกษาวิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส นครปฐม ๒๕๕๔.
พ.ศ. ๒๕๕๘ สติปัฏฐานภาวนา (Satipatthanabhavana) : เอกสารประกอบการสอน หลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิปัสสนาภาวนา ศูนย์บัณฑิตศึกษา วิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส นครปฐม ๒๕๕๘.
พ.ศ. ๒๕๕๘ สัมมนาวิปัสสนาภาวนา (Seminar on Vipassanabhavana) เอกสารประกอบการสอน หมวดวิชาบังคับ หลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิตสาขาวิชาวิปัสสนาภาวนา ศูนย์บัณฑิตศึกษาวิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส นครปฐม , ๒๕๕๘.
เขียนหนังสือธรรม
อ้างอิงข้อมูลวิชาการจากคัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกถา วิสุทธิมรรค แจกเป็นธรรมทาน ในโอกาสวันสำคัญต่างๆ
พ.ศ. ๒๕๕๓ เขียนหนังสือธรรม เรื่อง “ผลบุญ” โรงพิมพ์ห้างหุ้นส่วนจำกัด ประยูรสาส์นไทย การพิมพ์, จอมทอง กรุงเทพมหานคร ,๒๕๕๓. พิมพ์แจกเป็นธรรมทาน ๔ ครั้ง จำนวน ๘,๐๐๐ เล่ม
พ.ศ. ๒๕๕๓ เขียนหนังสือธรรม เรื่อง “พ้นกรรม” โรงพิมพ์ห้างหุ้นส่วนจำกัด ประยูรสาส์นไทย การพิมพ์, จอมทอง กรุงเทพมหานคร ,๒๕๕๓. พิมพ์แจกเป็นธรรมทาน ๒ ครั้ง จำนวน ๔,๐๐๐ เล่ม รวมปัจจัยทั้งสิ้น ๓๒,๐๐๐ บาท
พ.ศ. ๒๕๕๔ เขียนหนังสือธรรม เรื่อง “เหนือกรรม” โรงพิมพ์ห้างหุ้นส่วนจำกัด ประยูรสาส์นไทย การพิมพ์, จอมทอง กรุงเทพมหานคร ,๒๕๕๔. พิมพ์แจกเป็นธรรมทาน ๓ ครั้ง จำนวน ๖,๐๐๐ เล่ม รวมปัจจัยทั้งสิ้น ๔๘,๐๐๐ บาท
พ.ศ. ๒๕๕๔ เขียนหนังสือธรรม เรื่อง “พุทธปัสสนา” โรงพิมพ์ห้างหุ้นส่วนจำกัด ประยูรสาส์นไทย การพิมพ์, จอมทอง กรุงเทพมหานคร ,๒๕๕๔. พิมพ์แจกเป็นธรรมทาน ๓ ครั้ง จำนวน ๖,๐๐๐ เล่ม รวมปัจจัยทั้งสิ้น ๔๘,๐๐๐ บาท
พ.ศ. ๒๕๕๔ เขียนหนังสือธรรม เรื่อง “พระนิพพาน” โรงพิมพ์ห้างหุ้นส่วนจำกัด ประยูรสาส์นไทย การพิมพ์, จอมทอง กรุงเทพมหานคร ,๒๕๕๔. พิมพ์แจกเป็นธรรมทาน ๒ ครั้ง จำนวน ๔,๐๐๐ เล่ม
พ.ศ. ๒๕๕๕ เขียนหนังสือธรรม เรื่อง “วิธีล้างบาป” โรงพิมพ์ห้างหุ้นส่วนจำกัด ประยูรสาส์นไทย การพิมพ์, จอมทอง กรุงเทพมหานคร ,๒๕๕๕. พิมพ์แจกเป็นธรรมทาน ๓ ครั้ง จำนวน ๔,๐๐๐ เล่ม รวมปัจจัยทั้งสิ้น ๔๘,๐๐๐ บาท
พ.ศ. ๒๕๕๕ เขียนหนังสือธรรม ภาควิชาการ เรื่อง “อานาปานสติภาวนา ลำดับการบรรลุธรรมของพระพุทธเจ้า” (หน้า ๓๘๐ หน้า) ห้างหุ้นส่วนจำกัด ประยูรสาส์นไทยการพิมพ์ จอมทอง กรุงเทพฯ, ๔ มิถุนายน ๒๕๕๕. พิมพ์แจกเป็นธรรมทาน จำนวน ๒,๒๐๐ เล่ม
พ.ศ. ๒๕๕๖ เขียนหนังสือธรรม เรื่อง “พระนิพพาน” โรงพิมพ์ห้างหุ้นส่วนจำกัด ประยูรสาส์นไทย การพิมพ์, จอมทอง กรุงเทพมหานคร ,๒๕๕๖. พิมพ์แจกเป็นธรรมทาน จำนวน ๔,๐๐๐ เล่ม รวมปัจจัยทั้งสิ้น ๓๒,๐๐๐ บาท
พ.ศ. ๒๕๕๖ เขียนหนังสือธรรม เรื่อง “วินิจฉัย พอง-ยุบไม่ใช่วิปัสสนา” โรงพิมพ์ห้างหุ้นส่วนจำกัด ประยูรสาส์นไทย การพิมพ์,จอมทอง กรุงเทพมหานคร ,๒๕๕๖. พิมพ์แจกเป็นธรรมทาน ๒ ครั้ง จำนวน ๔,๐๐๐ เล่มรวมปัจจัยทั้งสิ้น ๓๒,๐๐๐ บาท
พ.ศ. ๒๕๕๖ เขียนหนังสือธรรม เรื่อง “ใคร? บรรลุธรรมแล้ว” โรงพิมพ์ห้างหุ้นส่วนจำกัด ประยูรสาส์นไทย การพิมพ์,จอมทอง กรุงเทพมหานคร ,๒๕๕๖. พิมพ์แจกเป็นธรรมทาน จำนวน ๒,๐๐๐ เล่มรวมปัจจัยทั้งสิ้น ๑๖,๐๐๐ บาท
พ.ศ. ๒๕๕๖ เขียนหนังสือธรรม เรื่อง “หลักสูตร ๗ วันบรรลุธรรม” โรงพิมพ์ห้างหุ้นส่วนจำกัด ประยูรสาส์นไทย การพิมพ์,จอมทอง กรุงเทพมหานคร,๒๕๕๖. พิมพ์แจกเป็นธรรมทาน จำนวน ๒,๐๐๐ เล่มรวมปัจจัยทั้งสิ้น ๑๖,๐๐๐ บาท
พ.ศ. ๒๕๕๗ เขียนหนังสือธรรม เรื่อง “ฉันบรรลุโสดาบันแล้ว” โรงพิมพ์ประยูรสาส์นไทย การพิมพ์, จอมทอง กรุงเทพ มหานคร ,๒๕๕๗. พิมพ์แจกเป็นธรรมทาน จำนวน ๒,๐๐๐ เล่ม รวมปัจจัยทั้งสิ้น ๑๖,๐๐๐ บาท
พ.ศ. ๒๕๕๗ เขียนหนังสือธรรม เรื่อง “มหาบุรุษ ผู้เอาชนะความตายได้แล้ว” โรงพิมพ์ประยูรสาส์นไทย การพิมพ์,จอมทอง กรุงเทพมหานคร ,๒๕๕๗. พิมพ์แจกเป็นธรรมทาน ๒ ครั้ง จำนวน ๔,๐๐๐ เล่มรวมปัจจัยทั้งสิ้น ๓๒,๐๐๐ บาท
พ.ศ. ๒๕๕๗ เขียนหนังสือธรรม เรื่อง “ไม่ต้องตกนรกอีกแล้วด้วยบันได ๗ ขั้น” โรงพิมพ์ประยูรสาส์นไทย การพิมพ์,จอมทอง กรุงเทพมหานคร ,๒๕๕๗. พิมพ์แจกเป็นธรรมทาน จำนวน ๒,๐๐๐ เล่มรวมปัจจัยทั้งสิ้น ๑๖,๐๐๐ บาท
พ.ศ. ๒๕๕๗ เขียนหนังสือธรรม เรื่อง “บรรลุธรรมในชาตินี้” โรงพิมพ์ประยูรสาส์นไทย การพิมพ์,จอมทอง กรุงเทพมหานคร มิถุนายน ๒๕๕๗, พิมพ์แจกเป็นธรรมทาน จำนวน ๖,๐๐๐ เล่ม รวมปัจจัยทั้งสิ้น ๗๓,๒๐๐ บาท
พ.ศ. ๒๕๕๗ เขียนหนังสือธรรม ภาควิชาการ เรื่อง “วิปัสสนาภาวนา ที่ไม่ถูกเขียนไว้ในพระไตรปิฎก” ( ๔๘๐ หน้า) โรงพิมพ์ประยูรสาส์นไทย การพิมพ์ ,จอมทอง กรุงเทพมหานคร, ๖ ธันวาคม ๒๕๕๗. พิมพ์แจกเป็นธรรมทาน จำนวน ๒,๐๐๐ เล่ม รวมปัจจัยทั้งสิ้น ๑๕๔,๐๐๐ บาท
พ.ศ. ๒๕๕๙ เขียนหนังสือธรรม เรื่อง “ความจริงเด็ดขาดในศาสนาพุทธ ที่พระเจ้าไม่อาจเบียดบังได้” โรงพิมพ์ประยูรสาส์นไทยการพิมพ์ ,จอมทอง กรุงเทพมหานคร, ๑๐๒๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๙, พิมพ์แจกเป็นธรรมทาน ๘,๐๐๐ เล่ม
พ.ศ. ๒๕๕๙ เขียนหนังสือธรรม เรื่อง “บุญกฐินสู่ความสิ้นกรรม” ( ๖๘ หน้า) โรงพิมพ์ประยูรสาส์นไทย การพิมพ์ ,จอมทอง กรุงเทพมหานคร ธันวาคม ๒๕๕๙, พิมพ์แจกเป็นธรรมทาน จำนวน ๘,๐๐๐ เล่ม
พ.ศ. ๒๕๖๐ เขียนหนังสือธรรม เรื่อง “พระนิพพาน ไม่เป็นที่สนใจของคนยุคนี้อีกแล้ว จริงหรือ?” (๖๘ หน้า) โรงพิมพ์ประยูรสาส์นไทย การพิมพ์ ,จอมทอง กรุงเทพมหานคร, ๒๘ มีนาคม ๒๕๖๐ พิมพ์แจกเป็นธรรมทาน จำนวน ๙,๐๐๐ เล่ม
พ.ศ. ๒๕๖๑ เขียนหนังสือธรรม เรื่อง “การล้างบาปแก้ไขกรรม ตามคัมภีร์พุทธศาสนา” (๑๔๐ หน้า) โรงพิมพ์ประยูรสาส์นไทย การพิมพ์ ,จอมทอง กรุงเทพมหานคร, ๑๐ เมษายน๒๕๖๑ พิมพ์แจกเป็นธรรมทาน จำนวน ๑๐,๐๐๐ เล่ม
พ.ศ. ๒๕๖๒ เขียนหนังสือธรรม ภาควิชาการ เรื่อง “การยกอารมณ์ฌานขึ้นสู่วิปัสสสนา ตามแนวอานาปานสติภาวนา” ( ๔๖๐ หน้า) โรงพิมพ์ประยูรสาส์นไทย การพิมพ์ ,จอมทอง กรุงเทพมหานคร, ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒. พิมพ์แจกเป็นธรรมทาน จำนวน ๓,๐๐๐ เล่ม
พ.ศ. ๒๕๖๒ เขียนหนังสือธรรม ภาควิชาการ เรื่อง “วิปัสสนาเพื่อความดับกรรม” (๔๗๐ หน้า) โรงพิมพ์ประยูรสาส์นไทย การพิมพ์ ,จอมทอง กรุงเทพมหานคร, ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๒. พิมพ์แจกเป็นธรรมทานในงานบำเพ็ญกุศลศพ หลวงพ่อสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสมมหาเถระ ป.ธ.๙) จำนวน ๓,๐๐๐ เล่ม
พ.ศ. ๒๕๖๔ เขียนหนังสือธรรม ภาควิชาการ เรื่อง “ลำดับการปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ แนวธัมมานุสารี” (๑,๑๕๐ หน้า) โรงพิมพ์ประยูรสาส์นไทย การพิมพ์ ,จอมทอง กรุงเทพมหานคร, ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔. จำนวน ๒,๐๐๐ เล่ม
เล่าประสบการณ์ปฏิบัติวิปัสสนา ๗ เดือน
สถาบันการศึกษาแห่งนี้ เปิดให้เรียนทุกอย่างที่ข้าพเจ้าเคยอยากรู้เมื่อครั้งเป็นสามเณร ทั้งภาษาบาลีชั้นสูง พระไตรปิฎก อรรถกถา อภิธรรม(จิต เจตสิก รูป นิพพาน) และหลักวิชาการทางโลก ที่เกี่ยวกับการบริหารการศึกษา ถึงแม้เนื้อหาจะไม่ลึกซึ้งมากนัก แต่ก็เกินความคาดหวังที่เคยตั้งไว้ก่อนจะเข้าศึกษามากมายนัก คงจะไม่มีสถาบันการศึกษาแห่งใดในประเทศที่เปิดสอนวิชาการเกี่ยวกับพุทธศาสนาได้อย่างครบวงจรเช่นนี้ ทำให้ข้าพเจ้าต้องตัดสินใจปักหลักอีกครั้งหนึ่งว่า “ที่วัดมหาสวัสดิ์แห่งนี้แหละคือที่เรียน ที่สร้างชื่อ และที่ตายของข้าพเจ้า”
เมื่อครั้งที่ข้าพเจ้าเป็นสามเณรเรียนจบนักธรรมชั้นตรี เคยคิดอยากเป็นพระอรหันต์อยากเหาะได้เหมือนพระโมคคัลลานะอยู่หลายปี แต่เมื่อได้มาเรียนที่วิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆสแห่งนี้ แต่ละวันเพลิดเพลินอยู่กับการอ่านพระไตรปิฎก อยากสอนบาลี อยากสอนพระไตรปิฎก จนลืมความคิดที่จะเป็นพระอรหันต์ไปเสียสนิท (บางครั้งคิดอยากสึกเสียด้วยซ้ำ) อยากแต่จะสร้างสำนักเรียนแห่งนี้ให้ยิ่งใหญ่ ผลิตพระภิกษุที่สมบูรณ์แบบที่สุด คือเชี่ยวชาญทั้งทางโลก (ภาษาอังกฤษ, บริหาร) และทางธรรม( พระไตรปิฎก) ทั้งภาคปริยัติ(ภาษาบาลี)และปฏิบัติ(วิปัสสนากัมมัฏฐาน) เพราะในปัจจุบัน วัดแห่งนี้เปิดสอน ๕ หลักสูตร คือ
๑. นักธรรม ตรี โท เอก
๒. บาลีสนามหลวง ประโยค ๑-๒ ถึง ประโยค ป.ธ. ๕
๓. ปริยัติธรรม (แผนกสามัญ) มัธยมศึกษาที่ ๑ -๖
๔. ปริญญาตรี สาขาวิชาบาลีพุทธศาสตร์ (ศึกษาบาลีสัททาวิเสส พระไตรปิฎก ๔๕ เล่ม ควบคู่กับหลักวิชาการเกี่ยวกับการบริหารการศึกษา)
๕. ปริญญาโท สาขาวิปัสสนาภาวนา (ศึกษาภาคทฤษฎี วิธีวิจัย และปฏิบัติวิปัสสนา ๗ เดือน)
ขณะที่ข้าพเจ้าเรียนจบปริญญาตรีด้วยคะแนนเกียรตินิยมอันดับ ๑ ได้ทราบข่าวว่า อีก ๒-๓ ปีข้างหน้าวิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆสจะเปิดหลักสูตรใหม่ในระดับปริญญาเอก สาขาวิชาบาลีสัททาวิเสส เปิดรับผู้ที่จบปริญญาตรีสาขาบาลี ผู้จบเปรียญ ๙ ประโยค และผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาษาบาลีเท่านั้น จึงนึกอยากจะเรียนขึ้นมาทันที ระหว่างนี้ทางวิทยาเขตได้เปิดหลักสูตรปริญญาโท สาขาวิชาวิปัสสนาภาวนาเป็นรุ่นแรก จึงตัดสินใจเข้าเรียน เพราะหลวงพ่อพระพรหมโมลีท่านบอกว่าจะหาญาติโยมอุปถัมภ์ค่าหน่วยกิตให้นิสิตทุกรูป/คน และเพื่อไม่ให้อยู่ว่าง รอให้หลักสูตรปริญญาเอก
เสร็จ ก็จะลาออกแล้วเข้าเรียนปริญญาเอกต่อทันที
ข้าพเจ้าตัดสินใจเข้าเรียนหลักสูตรวิปัสสนาภาวนา ปริญญาโท ด้วยคิดว่าอย่าให้อยู่ว่าง มิได้ตัดสินใจเข้าเรียนด้วยจิตศรัทธา เพราะเข้าใจว่าในโลกนี้คงไม่มีพระอริยเจ้าอีกแล้ว ถึงจะมีก็คงจะต้องปฏิบัติกันเป็น ๑๐-๒๐ ปี มิใช่เพียงแค่ ๗ เดือน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อได้ทราบว่าจะให้นิสิตปฏิบัติวิปัสสนาแบบกำหนดท้องพอง-ท้องยุบ จะให้ใครเป็นพระวิปัสสนาจารย์ก็ยังไม่แน่นอน และไม่มีทีท่าว่าพระอาจารย์ที่ข้าพเจ้าศรัทธาท่านหนึ่งจะได้รับพิจารณาให้เป็นพระวิปัสสนาจารย์ นั่นคือพระอาจารย์ชัชวาล (สำนักวิปัสสนากรรมฐาน พุทธวิหาร (วัดพระธรรมจักร) อ.เมือง จ.นครนายก) ทำให้ข้าพเจ้าไม่ศรัทธาต่อหลักสูตรมากนัก
(เหตุที่ข้าพเจ้าศรัทธาต่อพระอาจารย์รูปนี้มาก เพราะท่านเป็นพระวิปัสสนาจารย์รูปเดียวที่สามารถบอกวิธีแก้สภาวมึนงง ปวดศีรษะจนสั่นที่ข้าพเจ้าเป็นมาเกือบ ๑๐ ปีได้ พร้อมกับระบุชื่อได้ชัดเจนว่า สภาวนี้เรียกว่า “สภาวะติดอุปาทาน(ขั้นรุนแรง)” ยิ่งกำหนดยิ่งปวด จนศีรษะสั่น ขาสั่น มือสั่น กล้ามเนื้อกระตุก มึนงงเป็นพัก บางครั้งความจำดี บางครั้งจำอะไรไม่ได้เลย อ่านหนังสือจบหนึ่งหน้า จำอะไรไม่ได้เหมือนไม่ได้อ่านเลย ท่านบอกว่า อาการแบบนี้ท่านเคยเป็นมาก่อน แต่ไม่รุนแรงเหมือนข้าพเจ้า หลวงพ่อภัททันตะอาสภะ(อาจารย์ของท่าน) บอกวิธีแก้ไว้ว่า อาการนี้อย่าส่งจิตกำหนดบนศีรษะเด็ดขาด จนกว่ามันจะหายไปเอง หรือทุเลาลง ให้กำหนดสภาวะต่าง ๆ ตั้งแต่จมูก หรือปากลงมา และให้กำหนดเร็ว ๆ ถี่ ๆ ไม่ต้องจดจ่อมาก ข้าพเจ้าปฏิบัติอยู่ ๑๐ วัน (ตามหลักสูตรบังคับของมหาวิทยาลัย) รู้สึกว่าดีขึ้น ส่งจิตกำหนดอาการต่าง ๆ ได้สะดวกขึ้น แม้อาการปวดบีบบนศีรษะจะไม่เบาลง แต่ก็คงที่ไม่เพิ่มขึ้นจนทำให้ขาสั่นคอสั่นเหมือนปฏิบัติครั้งก่อน ๆ)
ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงไม่ค่อยศรัทธาต่อหลักสูตรนี้มากนัก และโดยใจจริงแล้ว ข้าพเจ้าศรัทธาต่อการปฏิบัติภาวนาแบบกำหนดลมหายใจเข้า-ออก (อานาปานสติ) มากกว่า เพราะปรากฏหลักฐานในคัมภีร์พระไตรปิฎกชัดเจนกว่าการปฏิบัติแบบกำหนดท้องพอง-ท้องยุบ
ต้องปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ๗ เดือนที่วัดงุยเตาอู
ตอนกำหนดเวทนาแรงมากๆ มีอยู่บัลลังก์หนึ่งปวดตึงแน่นที่ขาจนแทบจะขาดใจ และร้อนผ่าวไปทั้งตัว ยิ่งกำหนดยิ่งปวด ยิ่งร้อนรุ่ม อยู่ดี ๆ นึกถึงพุทธคุณขึ้นมา จึงเปลี่ยนไปเจริญพุทธคุณแทนเพื่อให้อาการปวดลดลงหน่อย เจริญพุทธคุณไปก็ซาบซึ้งไป เกิดปีติวูบวาบ ขนลุกชูชันเป็นระลอก ๆ
“พระพุทธเจ้านี้ดีเหลือเกิน.. พระองค์ประเสริฐเหลือเกิน.. เมื่อก่อนนี้พระองค์ก็เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น รู้จักร้อน รู้จักหนาว ต้องกินต้องถ่าย(อุจจาระ,ปัสสาวะ)เหมือนกับเรานี่แหละ มีกิเลสตัณหามากกว่าเราเสียด้วยซ้ำเพราะมีสิ่งปรนเปรอมากมาย(ตั้งแต่ประสูติ) แต่ในที่สุดพระองค์ทรงเพียรพยายามจนบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณได้ด้วยพระองค์เอง มิใช่พระเจ้าประทานพร หรือพระพรหมบันดาล แต่ด้วยความเพียรและหยาดเหงื่อของมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ในขณะ ที่มนุษย์ทุกคนยอมเหนื่อยยาก ยอมเสี่ยงชีวิตในบางครั้งเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินเพียงน้อยนิด แต่พระองค์กลับทิ้งสมบัติมหาศาลแล้วไปนั่งให้ยุงกัดอยู่กลางป่า ขณะที่พระองค์ตัดสินพระทัยทิ้งสมบัติมหาศาลออกจากพระราชวังไปนั้น พระองค์ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะพบวิธีดับทุกข์ได้จริงหรือเปล่า? จะดับทุกข์ได้ด้วยวิธีไหน? แต่พระองค์ก็ตัดสินพระทัยได้เด็ดขาดว่า “จะทิ้ง” โอ้. ช่างเป็นการตัดสินพระทัยที่เด็ดเดี่ยวเหลือเกิน… ดียิ่งนัก.. เลิศยิ่งนัก.. หลังจากตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องลำบากเดินด้วยเท้าเปล่าไปสอนคนโน้นคนนี้ เมื่อยปากเมื่อยคางเปล่าๆ บางทีถูกด่ากลับมาเสียด้วยซ้ำ เงินเดือนก็ไม่มี โบนัสก็งดจ่าย ค่าพาหนะก็ไม่มีใครให้ บางครั้งเดินด้วยเท้าเปล่าเป็นร้อย ๆ กิโลเมตรเพื่อไปสอนคนเพียงคนเดียว ญาติกันก็ไม่ใช่ คนรู้จักกันก็ไม่ใช่ ถ้าเป็นเรา..คงไม่ทำเป็นแน่ เมื่อยเปล่าๆ.. แต่พระองค์ทรงทำทุกวัน เทศนาสั่งสอนทุกวัน ตลอดระยะเวลา ๔๕ ปี มีเวลาพักผ่อนเอนหลังเพียงวันละ ๔ ชั่วโมงเท่านั้น โอ้..พระเมตตาช่างน่าซาบซึ้งนัก ตั้งแต่โลกเกิดจนโลกดับ จะหาบุคคลเช่นนี้ได้ที่ไหนอีก พระองค์ล้ำเลิศนัก การกระทำของพระองค์ยิ่งใหญ่นัก เหมาะสมแล้ว.. ถูกต้องที่สุดแล้วที่ผู้คนมากมายพากันบูชาสรรเสริญพระองค์ตลอดระยะเวลากว่า ๒๕๐๐ ปี แม้แต่ชั่วโมงสุดท้ายก่อนจะดับขันธปรินิพพาน ทั้ง ๆ ที่ประทับนั่งไม่ไหวแล้ว สังขารร่างกายจะแตกดับเต็มที แต่พระองค์ก็ยังพยายามเอาเรี่ยวแรงที่พอมีเหลืออยู่เพียงน้อยนิดขับลมผ่านกล่องเสียงที่คร่ำคร่าเต็มทีในท่านอนสีหไสยาสน์ เพื่อแสดงธรรมให้สุภัททปริพพาชกฟังจนเขาบรรลุอรหันต์ได้เรียบร้อยแล้ว พระองค์จึงตัดสินพระทัยเสด็จดับขันธปรินิพพาน ประเสริฐยิ่งนัก.. เลิศยิ่งนัก..จะหาบุคคลเช่นนี้ที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว เป็นการปรินิพพานในหน้าที่โดยแท้..” เจริญพระพุทธคุณ นึกไปก็ยิ่งซาบซึ้งเกิดปีติซาบซ่านไปทั้งตัวตั้งแต่ศีรษะจนถึงแผ่นหลัง จนนิ่งไปเป็นพัก ๆ รู้สึกตัวอีกทีน้ำตาอาบเต็มสองแก้มแล้ว เสียงสะอื้นค่อย ๆ ดังขึ้น น้ำมูกน้ำตาไหลเป็นทาง นึกขึ้นมาได้ว่ากำลังนั่งอยู่ท่ามกลางเพื่อนผู้ปฏิบัติธรรม ใครรู้เข้าจะอายเขา ทันใดนั้นมีความคิดแทรกเข้ามาว่า “ก็คนมันซึ้งนิ.. จะร้องไห้แล้วใครจะทำไม?” ก็เลยสะอื้นต่อเลย มีหลวงพี่ท่านหนึ่งเห็นเข้า ท่านนำไปล้อเลียนอยู่พักใหญ่ ตอนหลังทราบว่าท่านปฏิบัติไม่ก้าวหน้า จึงมาขอโทษ(ตบหลัง แล้วกล่าวขอโทษ)
วัดงุยเตาอูกรรมฐานแห่งนี้ ตั้งอยู่เชิงภูเขา ในเขตรัฐฉาน ประเทศเมียนร์มา สำนักมีข้อบังคับว่า ผู้ปฏิบัติต้องนั่งวิปัสสนาบัลลังก์ละ ๑ ชั่วโมง เดินจงกรม ๑ ชั่งโมงเป็นอย่างน้อย
การปฏิบัติภาวนาในช่วงสองวันแรกรู้สึกสบาย ๆ มีปวดขาท้ายบัลลังก์บ้างเล็กน้อย เพราะเคยปฏิบัติมาแล้ว ๔ ครั้ง (ครั้งละ ๑๐ วัน ตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย) แต่พอวันที่ ๓ เป็นต้นไป รู้สึกเสมือนว่าตนเองกำลังถูกจับทรมานให้เจ็บปวดอย่างช้า ๆ ค่อย ๆ ปวดแรงขึ้นๆ โดยเฉพาะที่ศีรษะ มันบีบรัดจนมึนงงไปหมด กำหนดอะไรก็ไม่ชัดเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างมาบังเอาไว้หรืออารมณ์ที่จะกำหนดอยู่ไกลมากๆ จนแทบมองไม่เห็น ยิ่งพยายามกำหนดให้ชัด อาการบนศีรษะก็ยิ่งบีบรัดแรงขึ้น ๆ พอส่งจิตดูอาการปวดบนศีรษะก็ยิ่งปวดจนงง มีเส้นประสาทกระตุกเจ็บเป็นระยะ จากนั้นอาการทั้งหมดมารวมเป็นจุดเดียวกันที่หน้าผาก รู้สึกเจ็บๆ เสียวๆ ตามรากผม ยิ่งกำหนดคอก็เริ่มสั่น กล้ามเนื้อกระตุก รู้สึกว่าหน้าบูดเบี้ยวไม่เป็นรูปร่าง มึนงงจนไม่รู้ว่าตนเองนั่งอยู่ท่าไหน รู้สึกเหมือนตนเองนั่งเอาศีรษะลง ยิ่งกำหนดเข้าไปอีก ยิ่งรู้สึกเหมือนมีเข็มแทงอยู่ที่กลางหน้าผาก บางครั้งเหมือนมีน้ำเย็นๆฉีดใส่หน้าผากอย่างแรงอยู่ตลอดเวลา ทำให้ต้องนั่งเงยหน้า แล้วคอก็เริ่มสั่นแรงขึ้นๆ พอถึงตอนนี้ทำให้หวนคิดถึงพระอาจารย์ชัชวาล (สำนักวิปัสสนาพุทธวิหาร นครนายก)ขึ้นมาทันที ที่ท่านเคยบอกวิธีแก้สภาวะนี้ ไว้ว่า “สภาวะนี้เรียกว่า สภาวะติดอุปทานขั้นรุนแรง อย่าส่งจิตไปกำหนดอาการบนศีรษะ ให้กำหนดตั้งแต่จมูกหรือคอลงมา และกำหนดเร็วๆ ไม่ต้องจดจ่อมาก” จึงนำความไปเรียนต่อท่านสยาดอ ท่านก็ไม่คัดค้าน หลังจากนั้นการกำหนดอารมณ์ต่าง ๆ ค่อย ๆ ดีขึ้น กำหนดได้ชัดและสะดวกขึ้น ทั้งๆที่อาการปกคลุมบนศีรษะก็ยังมีอยู่ แต่ไม่ใส่ใจ พยายามส่งจิตไปกำหนดอารมณ์อื่น แบบถี่ๆ เร็วๆ แรงๆ เพื่อไม่ให้จิตไปรับรู้อาการบนศีรษะ นานๆ อาการบนศีรษะจึงจะรุนแรงทำให้มึนงงขึ้นมาสักครั้งหนึ่ง แต่พอดวงอาทิตย์เริ่มลับแสงความมืดเข้าปกคลุม นั่งสมาธิรู้สึกเหมือนถูกฉาบทาไว้ด้วยความมืดมิด งงๆ เคว้งคว้าง จับอารมณ์กำหนดแทบไม่ได้เลย เหมือนถูกขังในคุกมืดมาเป็นร้อยๆปี พอไปสอบอารมณ์ช่วงเช้า จึงขอเปลี่ยนเวลาสอบเป็นช่วงค่ำ เพื่อจะได้ไม่ต้องนั่งสมาธิช่วงค่ำ
ด้วยความที่ตนมีสภาวะติดตัวมาเช่นนี้ ทำให้รู้สึกอิจฉาเพื่อน ๆ ว่า เราบุญน้อยจะทำให้ดี ให้เด่นก็มีอุปสรรคมาขัดขวาง เพื่อนบางคนเริ่มปฏิบัติจาก ๑ แล้วค่อยไป ๒ – ๓ – ๔ บางคนเริ่มจาก + ๑๐ ด้วยซ้ำ เพราะเคยปฏิบัติมาแล้วเป็นเดือนเป็นปี แต่เราต้องมาเริ่มที่ -๑๐ หรืออาจลบ -๑๐๐ เสียด้วยซ้ำ และนึกเปรียบการปฏิบัติวิปัสสนาเหมือนการใช้ดาบ ๒ มือฟาดฟันกิเลสให้ถอยหนีไป หรือดับดิ้นไป เพื่อนคนอื่นเขาฟาดฟันกิเลสด้วยดาบคู่กันอย่างสนุกมือ ทั้งซ้ายทั้งขวา แต่เรากลับใช้ดาบได้เพียงมือข้างเดียว เพราะมืออีกข้างหนึ่งต้องคอยถือโล่ชูเอาไว้เหนือศีรษะเพื่อป้องกันไม่ให้อาการบีบรัดบนศีรษะลงมารบกวนการกำหนดอารมณ์อื่น ๆ
ด้วยเหตุนี้ ทำให้ข้าพเจ้าต้องเพิ่มความเพียรขึ้นไปอีก เพื่อไล่ตามเพื่อนให้ทัน โดยการเดินจงกรม ๑ ชั่วโมงขึ้นไป หลายครั้งเดินถึง ๒ ชั่วโมง สูงสุดเดินถึง ๒ ชั่วโมง ๕๐ นาที และนั่งสมาธิ ๑ ชั่วโมงครึ่งขึ้นไป สูงสุดนั่งได้ถึง ๔ ชั่วโมง
ปฏิบัติไปเรื่อย ๆ จนครบ ๑ เดือนเต็มพอดี สยาดอบอกว่า “ท่านถึงญาณที่ ๑๑ แล้วนะ เข้าสังขารุเปกขาญาณเป็นรูปแรกด้วย” ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกแปลกใจ ผสมดีใจและสงสัยว่า ท่านเอาอะไรมาตัดสิน เพื่อนๆ หลายท่านนั่งเห็นแสงสี ตัวเบา ตัวลอย แต่ข้าพเจ้าไม่เห็นมีอะไรเลย ยังรู้สึกเจ็บๆ ปวดอยู่บางบัลลังก์ด้วยซ้ำ แต่ทำไม่เข้าสังขารุฯ เป็นรูปแรก” แต่ไม่ได้สอบถาม ด้วยเข้าใจว่าท่านเป็นพระวิปัสสนาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ มีประสบการณ์สอบอารมณ์มากกว่า ๓๐ ปี คงจะมีหลักในการตัดสินของท่าน
สภาวะเวทนา ญาณ ๒ ,ญาณ ๓
ขอย้อนกลับไปเล่าตอนต่อสู้กับเวทนา ญาณ ๒-๓ ดังนี้
ปฏิบัติวันแรก (๘ กรกฎาคม ๒๕๔๙)นั่งแบบสบาย ๆ ไม่ปวดมากนัก ทำให้นึกกระหยิ่มยิ้มย่องว่า นั่ง ๑ ชั่วโมงแบบนี้สบายมาก คนอื่นคงนั่งทรมานกันน่าดู เห็นบางคนนั่งบิดไปบิดมา เดี๋ยวก็ขยับ ๆ แต่พอวันที่ ๓ เป็นต้นไป เวทนาค่อย ๆ แรงขึ้นๆๆ พอวันที่ ๕ นั่งได้ ๓๐ นาที มีแต่สภาวะเวทนาล้วน ๆ ไม่มีอย่างอื่นปนเลย ปวดเจ็บไปทั่วถึงเยื่อในกระดูก เห็นเส้นเอ็นขาปวดตึงแน่นเป็นริ้ว ๆ ฝอย ๆ ยิ่งกำหนดไปเรื่อย ๆ ไม่มีทีท่าว่าอาการปวดจะลดลงเลย ยิ่งกำหนดยิ่งปวดลึก ทำให้เกิดนึกสงสัยขึ้นมาว่า “นี้มันเวรกรรมอะไรกันนะ ทำไมนั่งแค่ ๓๐ นาทีถึงได้เจ็บปวดถึงขนาดนี้ ชาติก่อนคงเคยไปหักแข้งขาใครไว้แน่ เวรกรรมจึงได้มาสนองเอาตอนนี้” แต่ก็ยังพยายามทนนั่งกำหนดต่อไปจนครบชั่วโมง คิดเสียว่าเป็นการชดใช้กรรม
วันที่ ๘ เจ้าพระคุณเอ๋ย? อะไรกันเนี๊ย แค่นั่ง ๕ นาทีเท่านั้น แต่เหมือนนั่ง ๑ ชั่วโมงเลย มันเจ็บปวดตึงแน่นมึนงงไปหมด ส่งจิตพุ่งตรงจี้ไปที่เวทนาที่ขาขวาแล้วกำหนดแบบไม่ยั้ง ความรู้สึกตอนนั้น “ภูเขาจะถล่ม ผืนดินจะทลาย โลกจะแตกก็ไม่สนแล้ว “ปวดหนอๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” อย่างเดียว กำหนดแบบถี่ๆเร็วๆแรงๆ กราดเป็นชุดๆ ยิ่งกว่าปืนกลเสียอีก ทุกนัดพุ่งตรงไปยังเป้าหมายเดียวกันคือเวทนาที่ขาขวา ไม่พลาดแม้แต่นัดเดียว แต่เอะ! ทำไม? ยิ่งกำหนดยิ่งปวด ยิ่งกำหนดยิ่งตึงแน่น ไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลย เหมือนยิ่งกำหนดก็ยิ่งไปเพิ่มกำลังให้มัน กำหนดจนเห็นกระดูกขาขาวจั๊ว มีเส้นเอ็นเป็นริ้วๆ ฝอยๆ อยู่รายรอบ ผ่านไปประมาณ ๓๐ นาที รู้สึกปวดจนใจจะขาด บริกรรม “ปวดหนอๆๆ” จนหายใจไม่ทัน จึงต้องตัด “หนอ” ทิ้งไป เหลือแต่ “ปวดๆๆ” เวลาผ่านไปพอสมควร แค่กำหนด “ปวดๆๆ” อย่างเดียวเอาไม่อยู่แล้ว จะออกแล้ว คิดอยากจะออกครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็กลัวเสียสัจจะมากกว่า (“เกิดเป็นลูกผู้ชาย ชาติพระ ต้องพยายามเรื่อยไปจนกว่าจะประสบความสำเร็จ”) มาถึงขั้นนี้แล้วถอยไม่ได้ บุกไปข้างหน้าอย่างเดียว ไม่มีถอย พอคิดจบจิตอยากจะออกก็ผุดขึ้นมาอีก ” ลูกผู้ชง.. ลูกผู้ชาย อะไรนั่นหนะ? เอาไว้บัลลังก์หน้าก็แล้วกัน บัลลังก์นี้ขอถอยตั้งหลักก่อน” ทำท่าว่าจะออกจากสมาธิด้วยเวลาเพียงประมาณ ๓๐ นาที ทันใดนั้นเองคำบริกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ก็ผุดขึ้นในมโนสำนึก “ตาย เป็นตาย..” จากนั้นคำบริกรรม จากเดิมที่มีเพียง “ปวดๆๆๆๆ” ก็เพิ่มเป็น”ปวดๆๆๆ ตาย เป็นตาย.. ปวดๆๆๆ ตาย เป็นตาย.. ปวดๆๆๆๆ ตาย เป็นตาย..” พยายามนั่งต่อไปได้อีกประมาณ ๑๐ นาที (รวมเป็น ๔๐ นาที) อยู่ดีๆ ก็มีความคิดแทรกเข้ามาว่า “เอ๊อ นาฬิกาทำไมไม่ดังซะทีนะ” พอรู้ทันก็กำหนด “คิดหนอๆๆๆๆ” จนความคิดดับไป แล้วกำหนดเวทนาต่อ “ปวดๆๆๆ ตาย..เป็นตาย” ความคิดก็ผุดขึ้นมาอีก “สงสัยนาฬิกาเสีย??” พอรู้ทันก็กำหนด “คิดหนอๆๆๆ” จนความคิดนั้นดับไป แล้วกำหนดเวทนาต่อไป ความคิดก็ผุดขึ้นมาอีก “สงสัยนาฬิกาเสียจริงๆ ออกละ” ค่อยๆขยับขาออก (อาการปวดหายไปโดยฉับพลันอย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อ ๑๐ วินาทีก่อนปวดขาแทบตาย แต่บัดนี้กลับไม่มีอาการเช่นนั้นอยู่เลย สยาดอบอกว่า อาการปวดเกิดจากกำลังสมาธิที่แรงขึ้นไปเรื่อยๆ) แล้วค่อย ๆ เปิดตาขึ้นดูนาฬิกา เวลาผ่านไปเพียง ๕๐ นาที ไม่ครบชั่วโมง ขาดไป ๑๐ นาที รู้สึกเสียใจเล็กน้อย
บัลลังก์ต่อ ๆ มาไม่ต่างจากบัลลังนี้เท่าไหรนัก แต่นั่งได้ครบชั่วโมงทุกบัลลังก์ บางบัลลังก์นั่งเห็นชีพจรเต้นตุ๊บตั๊บๆๆ ทั่วทั้งร่างกาย ร้อนผ่าวไปทั่ว เห็นตัวเองห่อหุ้มไปด้วยผืนหนังสีขาวเป็นริ้วๆ ฝอยๆ บางบัลลังก์นั่งไปก็นึกสงสารตัวเองไป “ในโลกนี้ยังมีใครน่าเวทนาสงสารกว่าเราอีกไม่เนี๊ย? แค่พลิกขานิดเดียวก็หายปวดทรมานแล้ว แต่สัจจะบารมีไม่ให้พลิก ก็ต้องนั่งปวดหนอๆ อยู่อย่างนี้แหละ” บางบัลลังก์นั่งกำหนดไปเรื่อยๆ นึกอยากร้องไห้ก็ร้องเลย(มีสะอื้นด้วย) แต่ก็พยายามเก็บเสียงเอาไว้ กลัวเพื่อนได้ยิน จะเป็นการรบกวนสมาธิ (ข้ออ้าง) บางครั้งก็นึกอยากตายขึ้นมา ขณะที่นั่งปวดสุดๆ นั้นอยากให้รถที่มีล้อโตๆ ทับทีเดียวให้ตายไปเลย.. ความเจ็บปวดก็คงไม่ต่างกันนัก แต่นั่งให้รถทับน่าจะดีกว่า เจ็บแป๊บเดียวแล้วก็ตายไปเลย ไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว ส่วนการนั่งกำหนดแบบนี้ ปวดสุดๆ ตั้งแต่ ๕-๑๐ นาทีแรก แล้วค้างเต่ง..อยู่อย่างนั้นจนครบชั่วโมง จะเพิ่ม..ก็ไม่เพิ่ม จะลดก็ไม่ลด ถ้าเวทนาปวดแรงขึ้นเรื่อยๆ ก็จะยังรู้สึกดีกว่านี้ เพราะเมื่อขึ้นถึงที่สุดแล้วก็คงจะลดลงบ้าง แล้วหายไปในที่สุด แต่นี่อะไร..?? ไม่เพิ่ม ไม่ลด ค้างอยู่นั่นแหละ นี่มันนรกชัดๆ “…ูอยากตาย?? “
บางครั้งนึกสนุก นึกถึงโฆษณาขายสินค้าทาง T.V. จึงพูดส่งเสียงออกมาให้เพื่อน ๆได้ยินว่า “โอ้ลอร่า..บัลลังก์นี้จอร์จปวดมากเลยอ?” หรือ ” โอ้ พระเจ้าจอร์จ มันปวดมากๆ” วันต่อมาได้ยินเพื่อนๆ พูดตามกันหลายรูป ตั้งแต่วันที่ ๑๓-๑๔ เป็นต้นไป เวทนาค่อย ๆ ลดลง แต่ไม่หายขาด มีปวดแรงบ้างท้ายบัลลังก์
วันที่ ๒๓ เป็นต้นไป เวทนามีหายไปบ้างในบางบัลลังก์ บางบัลลังก์นั่งได้ถึง ๒ ชั่วโมง พอเวทนาที่ขาเริ่มลดลง อาการปวดรัดบนศีรษะก็กลับปรากฏชัดขึ้นมาอีก(อย่างที่เคยเล่ามาแล้ว) แต่ก็พอทนได้ กำหนดดูอาการเกิดดับของสภาวะต่างๆ ได้ดีขึ้น และค่อยๆ ชัดขึ้น อาการบนศีรษะไม่ลงมารบกวนบ่อยนัก
นั่งร้องไห้ซึ้งในพุทธคุณ
ตอนกำหนดเวทนาแรงมากๆ มีอยู่บัลลังก์หนึ่งปวดตึงแน่นที่ขาจนแทบจะขาดใจ และร้อนผ่าวไปทั้งตัว ยิ่งกำหนดยิ่งปวด ยิ่งร้อนรุ่ม อยู่ดี ๆ นึกถึงพุทธคุณขึ้นมา จึงเปลี่ยนไปเจริญพุทธคุณแทนเพื่อให้อาการปวดลดลงหน่อย เจริญพุทธคุณไปก็ซาบซึ้งไป เกิดปีติวูบวาบ ขนลุกชูชันเป็นระลอก ๆ
“พระพุทธเจ้านี้ดีเหลือเกิน.. พระองค์ประเสริฐเหลือเกิน.. เมื่อก่อนนี้พระองค์ก็เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น รู้จักร้อน รู้จักหนาว ต้องกินต้องถ่าย(อุจจาระ,ปัสสาวะ)เหมือนกับเรานี่แหละ มีกิเลสตัณหามากกว่าเราเสียด้วยซ้ำเพราะมีสิ่งปรนเปรอมากมาย(ตั้งแต่ประสูติ) แต่ในที่สุดพระองค์ทรงเพียรพยายามจนบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณได้ด้วยพระองค์เอง มิใช่พระเจ้าประทานพร หรือพระพรหมบันดาล แต่ด้วยความเพียรและหยาดเหงื่อของมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ในขณะ ที่มนุษย์ทุกคนยอมเหนื่อยยาก ยอมเสี่ยงชีวิตในบางครั้งเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินเพียงน้อยนิด แต่พระองค์กลับทิ้งสมบัติมหาศาลแล้วไปนั่งให้ยุงกัดอยู่กลางป่า ขณะที่พระองค์ตัดสินพระทัยทิ้งสมบัติมหาศาลออกจากพระราชวังไปนั้น พระองค์ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะพบวิธีดับทุกข์ได้จริงหรือเปล่า? จะดับทุกข์ได้ด้วยวิธีไหน? แต่พระองค์ก็ตัดสินพระทัยได้เด็ดขาดว่า “จะทิ้ง” โอ้. ช่างเป็นการตัดสินพระทัยที่เด็ดเดี่ยวเหลือเกิน… ดียิ่งนัก.. เลิศยิ่งนัก.. หลังจากตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องลำบากเดินด้วยเท้าเปล่าไปสอนคนโน้นคนนี้ เมื่อยปากเมื่อยคางเปล่าๆ บางทีถูกด่ากลับมาเสียด้วยซ้ำ เงินเดือนก็ไม่มี โบนัสก็งดจ่าย ค่าพาหนะก็ไม่มีใครให้ บางครั้งเดินด้วยเท้าเปล่าเป็นร้อย ๆ กิโลเมตรเพื่อไปสอนคนเพียงคนเดียว ญาติกันก็ไม่ใช่ คนรู้จักกันก็ไม่ใช่ ถ้าเป็นเรา..คงไม่ทำเป็นแน่ เมื่อยเปล่าๆ.. แต่พระองค์ทรงทำทุกวัน เทศนาสั่งสอนทุกวัน ตลอดระยะเวลา ๔๕ ปี มีเวลาพักผ่อนเอนหลังเพียงวันละ ๔ ชั่วโมงเท่านั้น โอ้..พระเมตตาช่างน่าซาบซึ้งนัก ตั้งแต่โลกเกิดจนโลกดับ จะหาบุคคลเช่นนี้ได้ที่ไหนอีก พระองค์ล้ำเลิศนัก การกระทำของพระองค์ยิ่งใหญ่นัก เหมาะสมแล้ว.. ถูกต้องที่สุดแล้วที่ผู้คนมากมายพากันบูชาสรรเสริญพระองค์ตลอดระยะเวลากว่า ๒๕๐๐ ปี แม้แต่ชั่วโมงสุดท้ายก่อนจะดับขันธปรินิพพาน ทั้ง ๆ ที่ประทับนั่งไม่ไหวแล้ว สังขารร่างกายจะแตกดับเต็มที แต่พระองค์ก็ยังพยายามเอาเรี่ยวแรงที่พอมีเหลืออยู่เพียงน้อยนิดขับลมผ่านกล่องเสียงที่คร่ำคร่าเต็มทีในท่านอนสีหไสยาสน์ เพื่อแสดงธรรมให้สุภัททปริพพาชกฟังจนเขาบรรลุอรหันต์ได้เรียบร้อยแล้ว พระองค์จึงตัดสินพระทัยเสด็จดับขันธปรินิพพาน ประเสริฐยิ่งนัก.. เลิศยิ่งนัก..จะหาบุคคลเช่นนี้ที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว เป็นการปรินิพพานในหน้าที่โดยแท้..” เจริญพระพุทธคุณ นึกไปก็ยิ่งซาบซึ้งเกิดปีติซาบซ่านไปทั้งตัวตั้งแต่ศีรษะจนถึงแผ่นหลัง จนนิ่งไปเป็นพัก ๆ รู้สึกตัวอีกทีน้ำตาอาบเต็มสองแก้มแล้ว เสียงสะอื้นค่อย ๆ ดังขึ้น น้ำมูกน้ำตาไหลเป็นทาง นึกขึ้นมาได้ว่ากำลังนั่งอยู่ท่ามกลางเพื่อนผู้ปฏิบัติธรรม ใครรู้เข้าจะอายเขา ทันใดนั้นมีความคิดแทรกเข้ามาว่า “ก็คนมันซึ้งนิ.. จะร้องไห้แล้วใครจะทำไม?” ก็เลยสะอื้นต่อเลย มีหลวงพี่ท่านหนึ่งเห็นเข้า ท่านนำไปล้อเลียนอยู่พักใหญ่ ตอนหลังทราบว่าท่านปฏิบัติไม่ก้าวหน้า จึงมาขอโทษ(ตบหลัง แล้วกล่าวขอโทษ)
ปริญญาของพระพุทธเจ้า
พอปฏิบัติได้ถึงตอนนี้ สามารถข้ามญาณเวทนาได้แล้ว ก็เกิดคำถาม
ขึ้นในใจว่า “เราทนทุกข์ทรมานสู้เวทนาทุกแบบ ไม่มีถอย เดินหน้าอย่างเดียว สู้ทุกรูปแบบ ยอมเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อให้ข้ามญาณเวทนาให้ได้ จนสำเร็จแล้ว ที่เราเพียรพยายามมาทั้งหมดนี้เพียงเพื่อกระดาษแผ่นเดียวกระนั้นหรือ?”
คำตอบผุดขึ้นในใจทันทีว่า “ไม่แน่นอน ก็แค่ใบปริญญาไม่ต้องทำกันถึงขนาดนี้ก็ได้ ค่อย ๆ นั่งไป ปวด..ก็ขยับ ปวด..ก็พลิกขา ใช้เวลาข้ามญาณเวทนาสักเดือน สองเดือนก็ยังได้เพราะมีเวลาปฏิบัติตั้ง ๗ เดือน(ทั้งที่สยาดอบอกว่า เพียง ๓-๔ เดือนก็จบได้แล้ว) แต่นี่..เราเพ่งเพียรกำหนดแบบไม่ลืมหูลืมตา ยิ่งปวดก็ยิ่งกำหนด ยิ่งกำหนดก็ยิ่งปวด สู้ไม่ถอย แม้จะท้ออยู่หลายครั้ง อยากตายให้พ้นๆ ไปหลายหน นั่งร้องไห้ ๒-๓ บัลลังก์ จนสำเร็จได้ภายในเวลา ๑๐ กว่าวัน ที่ลงแรงทำไปทั้งหมดนี้ย่อมไม่ใช่เพียงแค่ใบปริญญาแน่นอน”
เกิดความคิดหลายครั้งว่า ถ้ามีเหตุให้ต้องย้ายสถานที่ปฏิบัติไปที่อื่น ถ้าไม่ไปจะต้องเสียสภาพความเป็นนิสิต ข้าพเจ้าก็จะยังปฏิบัติที่นี่ต่อไป โดยไม่รู้สึกลังเลเสียดาย หรือเสียใจเลยแม้แต่นิด อาจจะรู้สึกมีกำลังใจเสียด้วยซ้ำว่า ” เราต้องปฏิบัติให้สำเร็จให้จงได้ ใบปริญญากระดาษได้หลุดมือไปแล้วหนึ่งใบ ยังเหลือแต่ปริญญาของพระพุทธเจ้าเพียงใบเดียวที่ยังพอมีโอกาส” และอีกประการหนึ่ง อยากรู้นัก หลังจากผ่านญาณเวทนาไปแล้วต่อไปจะมีอะไรอีก จะไปสิ้นสุดลงที่ตรงไหน? ที่เขาว่ารูปดับ-นามดับ มันเป็นอย่างไร? บัดนี้ก็มาถึงขั้นที่ ๓ แล้วทั้งที่ไม่เคยคิดมาก่อนด้วยซ้ำว่าชาตินี้จะมีโอกาสผ่านญาณ ๑ หรือไม่? ต้องไปให้ถึงจุดหมายให้ได้ ถึงจะบรรลุมรรคผลไม่ได้ ก็ขอให้ได้ใช้ความเพียรอย่างถึงที่สุด ดังพุทธพจน์ที่พอจะจำได้ว่า “เกิดเป็นลูกผู้ชาย ต้องพยายามเรี่อยไปจนกว่าจะประสบความสำเร็จ”
๓-๔ เดือนหลังจากนั้น แทบไม่มีความคิดเรื่องใบปริญญาเข้ามาในความคิดอีกเลย ต่อเมื่อปฏิบัติจบในเดือนที่ ๖ ความคิดเรื่องใบปริญญาจึงผุดขึ้นมาอีกครั้ง แต่คิดว่า ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะสิ่งที่ได้จากการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องตลอด ๖ เดือนนั้น ยิ่งใหญ่และทรงคุณค่ามากกว่าใบปริญญามากมายนัก
วิปัสสนูปกิเลส
วิปัสสนูปกิเลส คือ สภาวะธรรม(กิเลส)ที่ขวางกันไม่ให้วิปัสสนาญาณเจริญ ก้าวหน้าต่อไปได้ มีอยู่ ๑๐ สภาวะด้วยกัน คือ ๑. แสงสว่าง ๒. ปีติ(ความอิ่มใจ) ๓. ความรู้(มาก) ๔.ความสงบนิ่งเฉย ๕. ความสุขสบาย ๖. ความศรัทธา(จนคิดฟุ้ง) ๗. ความเพียรที่มากเกิน ๘. สติที่มากเกิน ๙. ความวางเฉยจนลืมกำหนด ๑๐. ความยินดีพอใจในแสงสีและสภาวะที่ดี ๆ
ประมาณวันที่ ๒๓-๒๔ กรกฎาคม ๒๕๔๙ (หลังปฏิบัติได้ ๑๕ วัน) สยาดอเริ่มถามว่า “นั่งไป ๆ มีแสงสว่างเข้ามาบ้างมั๊ย? เห็นแสงสีบ้างหรือเปล่า?” ตอบท่านว่า “ไม่เห็นอะไรเลยครับ” วันต่อ ๆ มาก็ยังถามอยู่เช่นเดิม ทำให้ข้าพเจ้าเริ่มสงสัยว่า “นี่ เราต้องนั่งให้เห็นแสงสีกันเลยหรือ?” ฟังเพื่อนคนอื่น ๆ ส่งอารมณ์ก็ไม่มีใครเห็นกันสักคน ๒-๓ วันต่อมาเพื่อนหลายรูปส่งอารมณ์ว่า “เห็นแสงแล้วครับ เป็นดวง ๆ เป็นสีก็มี พอกำหนดว่า “เห็นหนอๆ” มันก็ดับไป” บางรูปบอกว่า “นั่งรู้สึกสว่างจ้าเหมือนมีไฟฉายมาส่องหน้า บางรูปบอกว่า “เกิดปีติซาบซ่านตามแขน ขา และแผ่นหลัง บางครั้งมีคันยุบยิบ” บางรูปบอกว่า “นั่งไป ๆๆ สมาธินิ่งสงบจนไม่รู้อะไรไปเลย”ก็มี ข้าพเจ้าฟังแล้วก็เกิดสงสัยตนเองขึ้นมาว่า ทำไมเราไม่มีอะไรเลย อาการปวดบีบรัดบนศีรษะก็ยังมีอยู่เหมือนเดิม พอง-ยุบก็ไม่คงที่เดี๋ยวสั้นเดี๋ยวยาว อาการปีติก็ไม่แน่ใจว่ามีบ้างหรือเปล่า เพราะกำหนดแบบถี่ ๆ เร็ว ๆ แบบไม่สนใจอะไรมาโดยตลอด (ที่ต้องกำหนดเร็วๆ แรงๆ ถี่ๆ เพราะต้องดึงใจไม่ให้ไปรับรู้อาการบีบรัดบนศีรษะ จะทำให้มึนงง จนกำหนดอะไรไม่ถนัด) หลังจากนั้น ๔-๕ วันคนแปลก็ยังเฝ้าถามถึงแสงสีอยู่ทุกวัน ก็ตอบไปว่า ” ไม่เห็น ถ้าเห็นก็คงมีนิดเดียวทำให้ไม่แน่ใจ” ยิ่งผ่านไปหลายวันก็รู้สึกหงุดหงิดตัวเองมากขึ้นว่า “ทำไมเราไม่เห็นแสงสีซะที? ตั้งใจปฏิบัติมาตลอด ทำไมญาณไม่ขึ้นเลย คงจะติดอยู่แค่นี้เสียแล้วละมัง” จึงตัดสินใจถามสยาดอตรงๆ ว่า ตอนนี้ตนเองถึงขั้นไหนแล้ว ถึงญาณที่ ๔ แล้วหรือยัง? ท่านก็ตอบตรง ๆ ว่า “ผ่านแล้ว เข้าญาณที่ ๕ แล้ว” ข้าพเจ้าฟังแล้วก็ไม่เชื่อเพราะยังไม่เคยเห็นแสงสีแบบเต็ม ๆ ตาเลยสักครั้ง ในขณะที่เพื่อนเขารายงานกันว่า นั่งสว่างไสวเหมือนนั่งอยู่กลางแดดเลย บางรูปเห็นดวงสีระยิบระยับเหมือนพลุ เรากลับไม่เห็นอะไรเลย แต่ทำไมสยาดอบอกว่าเราผ่านญาณที่ ๔ แล้ว ท่านพูดเพื่อให้กำลังใจเราหรือเปล่า ตอนนี้กำลังใจไม่ต้องการแล้ว.. ต้องการญาณอย่างเดียวต้องการเห็นแสงดวงใหญ่ หญ่าย! (พร้อมกับกางมือออก แสดงขาดที่ต้องการเห็น ประมาณเท่ากระด้ง)จึงขอดูใบเช็คสภาวะญาณ ท่านก็ใจดีให้ดูเลย พร้อมกับบอกว่า “สภาวะของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ต่างคนก็ต่างสภาวะ จะให้เหมือนกันทุกคนไม่ได้หรอก บางคนก็มีสภาวะแปลกพิศดารมาก ในขณะที่บางคนแทบไม่มีสภาวะอะไรเลยจนเจ้าตัวเองก็ไม่รู้ โดยเฉพาะคนที่กำหนดถี่ๆ เร็วๆ (กำหนดดะ) จิตรับรู้อะไรก็กำหนดดับทันที ไม่เผลอนั่งเหม่อ นั่งใจลอย ไม่ปล่อยให้ความพอใจในสภาวะต่าง ๆ เกิดขึ้น พบอะไรก็กำหนดดับหมด ทำให้ผ่านญาณที่ ๔ ไปได้ง่าย แต่ถ้าเผลอสติเพ่งดูแสงสีนั้น หรือนึกชอบใจอยากให้มีมากๆ ขึ้น ไม่พยายามกำหนดให้ดับๆไปซะ วิปัสสนาญาณก็จะติดอยู่เพียงญาณที่ ๔ ตลอดไป บางคนติดอยู่เป็นสิบๆปี จนตัวเองหลงคิดไปว่าได้บรรลุแล้ว
ข้าพเจ้าฟังสยาดออรรถาธิบายแล้วก็พอเข้าใจ แต่ก็ยังอยากเห็นแสงสีอยู่ดี จะได้ไม่น้อยหน้าเพื่อนๆ เพราะมีเพื่อนรูปหนึ่งชอบพูด(อวด)ว่า “ผมนั่งเห็นแสงระยิบระยับดวงแล้วดวงเล่า ดวงแรกยังไม่ทันดับ ดวงที่ ๒ ก็เกิดซ้อนขึ้นมาเรื่อย ๆ เต็มไปหมด บางครั้งแตกกระจายเหมือนพลุเลย พูดไปพวกท่านก็ไม่รู้หรอกว่ามันน่าอัศจรรย์ขนาดไหน? คนที่เห็นเท่านั้นจะรู้”
ประมาณ ๑๕ วันต่อมา เวลาประมาณ ๓ ทุ่มครึ่ง ข้าพเจ้ากำลังเตรียมตัวจำวัด ก็ได้ยินเสียงคล้ายเด็กร้องไห้ สะอื้นเบา ที่ระเบียงใกล้หน้าต่าง บางครั้งก็ร้องไห้ บางครั้งก็หัวเราะบ่นพึมพำสลับกันไป ทำให้ข้าพเจ้าขนพองสยองเกล้าขึ้นมาทันที “เราโดนผีหลอกเข้าให้แล้ว” แต่ก็พยายามแข็งใจเดินออกไปดูให้เห็นกับตาว่าผีจริงหรือเปล่า (อยากเห็นมานานแล้ว จะได้นำไปเทศน์ให้โยมฟังได้เต็มปากเต็มคำว่า ผีมีจริง) พอออกไปดู เห็นหลวงพี่(ที่ชอบพูดอวดแสงสีของตนนั่นแหละ) กำลังนั่งร้องไห้อยู่ ก็เลยนึกสงสาร เข้าไปถามว่า “หลวงพี่ มีอะไรหรือเปล่า ทำไมมานั่ง(ร้องไห้)อยู่ตรงนี้” ท่านก็เดินกลับพร้อมกับพูดว่า ” วันนี้จะร้องไห้เป็นวันสุดท้ายแล้ว ต่อไปจะไม่ร้องอีกแล้ว” ข้าพเจ้าฟังแล้วก็งงว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่กล้าถาม ท่านก็เดินร้องไห้พึมพำเดินเข้ากุฏิไป นอนร้องไห้ต่อ เวลาประมาณ ตี ๒ เสียงร้องก็ดังแรงขึ้นๆ จนได้ยินชัดเจน นึกสงสารอยากช่วย(….) จึงลุกขึ้นไปดู ได้ยินเสียงท่านบ่นพึมพำว่า “ไอ้เฮีย? กูเคยเห็นมึงแล้วมึงมาทำไมอีกวะ มึงไม่ต้องมาหรอก กูเคยเห็นมึงแล้ว ท้องทำไมมันเบานักวะ” พร้อมกับเอากำมือทุบหน้าท้องไปด้วย ข้าพเจ้าบอกท่านว่า “กำหนดตามที่มันเป็นซิ เดี๋ยวมันก็ดับไปเอง รู้ก็ให้กำหนดว่ารู้ เห็นก็ให้กำหนดว่าเห็น” เสียงท่านก็เบาลงพักหนึ่ง แต่ไม่ทราบว่าหลังจากนั้นจะดังขึ้นอีกหรือเปล่า
รุ่งเช้า ท่านไปส่งอารมณ์ สยาดอบอกว่า “ไม่ต้องกลัว มันเป็นเพียงสภาวของภยญาณ (ญาณที่ ๖) สาเหตุเกิดจากการไม่ยอมกำหนดแสงสีตั้งแต่ต้น ปล่อยให้จิตเข้าไปยึดมั่นยินดีกับสิ่งที่เห็นจนปัญญาอ่อนกำลัง กำหนดเท่าไรก็ไม่ดับซะที บวกกับท่านเป็นคนขี้กลัวอยู่ด้วยจึงทำให้เป็นเช่นนี้” ตั้งแต่บัดนั้น ข้าพเจ้าไม่เคยนึกอยากเห็นแสงสีอีกเลย ถ้าเห็นแล้วเป็นแบบนี้ขอไม่เห็นดีกว่า ต่อมาแม้จะเห็นอยู่บ้างในบางบัลลังก์ ก็พยายามเบี่ยงหน้าหนี และรีบกำหนดให้ดับไปในทันที .. ไม่อยากนั่งร้องไห้ขี้มูกโป่ง..?
เกิดกำลังใจในการปฏิบัติ
หลังจากผ่านญาณเวทนาได้เรียบร้อยแล้ว สติในการกำหนดแจ่มชัดขึ้นตามลำดับ เห็นความเกิด-ดับของสภาวธรรมต่างๆ ที่กำหนดได้มากขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงญาณที่ ๕ (ภังคญาณ) กำหนดอะไรก็เห็นแต่อาการดับชัดเจนมาก ยิ่งข้าพเจ้ากำหนดแบบเร็วๆ แรงๆ ถี่ๆ มาตั้งแต่ต้นด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เห็นอาการดับรวดเร็วตามไปด้วย (ที่ต้องกำหนดเร็วๆ แรงๆ ถี่ๆ เพราะต้องดึงใจไม่ให้ไปรับรู้อาการบีบรัดบนศีรษะ จะทำให้มึนงง จนกำหนดอะไรไม่ถนัด) แม้แต่เดินจงกรมก็ยังรู้สึกได้ถึงอาการลอกหลุดไปของส้นเท้าและ
อาการเกิด-ดับของเท้าในแต่ละการเคลื่อนไหว ทำให้เกิดปัญญารู้ผสมกับความอัศจรรย์ใจว่า” นี่มันอะไรกันเนี๊ย? เราเจอของจริงเข้าแล้วนี่ นี้แหละพระไตรลักษณ์ของแท้ พระไตรลักษณ์ของแท้ต้องเป็นอย่างนี้ ที่เคยเรียนจากตำราเป็นสิบๆ ปีนั้น นั่นเป็นเพียงตัวหนังสือ มิใช่ของแท้ บัดนี้เราได้เจอของแท้เข้าให้แล้ว มันช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ ไม่มีสภาวะใดเลยกำหนดแล้วไม่ดับ ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา สังขารธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่มีสภาวธรรมใดเลยที่เป็นตัวตน สามารถบังคับบัญชาให้เป็นไปอย่างใจคิดได้” มันเป็นความจริงทั้งนั้น ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า การมาปฏิบัติครั้งนี้ ณ วัดแห่งนี้ จะทำให้เราพบความจริงเช่นนี้ เป็นเพราะหลวงพ่อพระพรหมโมลีแท้ๆ เป็นเพราะสยาดอ (ภัททันตะวิโรจนะ) แท้ๆ ที่ทำให้เราพบความจริงอันน่าอัศจรรย์เช่นนี้ นึกไปก็เห็นภาพตนเองหมอบกราบอยู่แทบเท้าสยาดอ และหลวงพ่อพระพรหมโมลี น้ำตาค่อยๆ เอ่อล้นขอบตา ไหลรินเป็นทางจนเต็มแก้มทั้งสองข้าง (แล้วก็เริ่มเอะใจ ใครเห็นบ้างมั๊ยเนี่ย? ไม่สนก็คนมันกำลังซึ้ง..นิ)
นั่งเห็นตัวเองเน่า
เพื่อนพระภิกษุรูปหนึ่ง ส่งอารมณ์ว่า เขานั่งเห็นร่างกายตนเองเน่าซีกหนึ่ง อีกรูปหนึ่งเล่าว่า เขาเห็นตัวเองนอนในโลงศพ มีคนมากมายนำดอกไม้มาวางบนตัวเขา อีกรูปหนึ่งเล่าว่า เขานั่งสมาธิอยู่ รู้สึกเหมือนว่ามีแมลงวันเป็นจำนวนมากตอมยั๊วเยี้ยอยู่ที่ส้นเท้าของเขา ข้าพเจ้าฟังแล้วก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เขาคงคิดมากไปเองมากกว่า หรือไม่ก็เป็นความรู้สึกที่สร้างขึ้นมาเองเพื่อให้ตรงตามสภาวะญาณที่เคยฟังมา
วันต่อมา ขณะที่กำลังนั่งบัลลังก์สุดท้าย นั่งไปได้ประมาณ ๑ ชั่วโมงครึ่ง รู้สึกเจ็บที่หัวใจ แล้วอาการค่อย ๆ แรงขึ้นๆ รู้สึกเหมือนกับมีบางสิ่งบางอย่างที่เล็กมากกำลังรุมกัดกินหัวใจอยู่ กำหนด “ปวดหนอๆๆ”ไป เรื่อยๆ ยิ่งกำหนดอาการปวดก็ยิ่งกระจายออก รู้สึกปวดๆ คันๆ จั๊กจี๊เล็กน้อย กระจายไปทั่วตั้งแต่ราวนมขึ้นมาจนถึงศีรษะ ทันใดนั้นก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า “นี่มันหนอนชัดๆ” แต่ก็ไม่มั่นใจมากนัก อาการค่อย ๆ ชัดขึ้นๆๆ มีอยู่ตัวหนึ่งไต่มาที่แก้มทำให้รับรู้ถึงสัมผัสของจังหวะการกระดึ๊บตัวของมันได้ชัดเจนขึ้น “นี่มันหนอนจริงๆ..หนิ?” ความรู้สึกรังเกียจตัวเองค่อยๆเข้าเกาะกุมหัวใจ ยิ่งอาการปรากฏชัดก็ยิ่งรู้สึกรังเกียจ จึงบ่นรำพันอยู่ในใจว่า “เรายังไม่ตายเลยนะ เน่าแล้วหรือนี่?” ด้วยความที่ยังยึดร่างกายว่าเป็นของเราอยู่ จึงอยากจะสบัดให้ตัวหนอนเหล่านี้หลุดออกไปให้หมด แต่ยังมีสติรู้อยู่ว่า นี้เป็นเพียงสภาวะธรรม มิใช่ของจริง บางขณะจิตก็นึกอยากจะเปิดตาออกดูว่าเป็นหนอนจริงหรือเปล่า? แต่ก็กลัวว่า ถ้าเห็นเข้าจริงๆ คงจะเป็นบ้าไปแน่ จึงไม่กล้าเปิดตาออก พอออกจากบัลลังก์อาการต่างๆ ก็หายไป แต่ความรู้สึกรังเกียจตนเองยังมีอยู่ และรุนแรงขึ้นทุกครั้งที่เผลอคิดถึงความรู้สึกในช่วงนั้น เข้าใจเอาเองว่า เราน่าจะถึงนิพพิทาญาณแล้ว และเกิดอัศจรรย์ใจขึ้นมาว่า “ลำดับญาณ ๑๖ ที่มีอยู่ในตำรามันของจริงทั้งนั้น มิใช่พระสมัยก่อนเขียนขึ้นเอาเอง ในเมื่อประสบเข้ากับตนเองเช่นนี้ ถึงไม่อยากเชื่อก็จำเป็นต้องเชื่อแล้ว..” แต่ก็ยังนึกสงสัยอยู่ว่า “แล้วมรรคผล นิพพานละ เราจะไปถึงขั้นนั้นได้หรือเปล่า?” จึงเร่งความเพียรขึ้นไปอีก กำหนดถี่ ๆ แรง ๆ อาการปวดก็ยังมีอยู่ จะรุนแรงขึ้นในชั่วโมงที่ ๒-๓ แทบทุกบัลลังก์ อาการปวดรัดซ่า ๆ บนศีรษะก็ปรากฏรุนแรงขึ้นบ้างในบางบัลลังก์ พยายามกำหนดไปเรื่อยๆ ช่วงนี้แทบไม่พูดคุยกับใครเลย กำหนดอย่างเดียวทุกอริยาบถแบบถี่ยิบ.. ที่เผลอสติหลุดกำหนดมีน้อยมาก
ปฏิบัติไปเรื่อยๆ จนครบ ๑ เดือนเต็มพอดี สยาดอบอกว่า “ท่านถึงญาณที่ ๑๑ แล้วนะ เข้าสังขารุฯเป็นรูปแรกด้วย” ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกแปลกใจ ผสมดีใจและสงสัยว่า ท่านเอาอะไรมาตัดสิน แต่ไม่ได้สอบถาม ด้วยเข้าใจว่าท่านเป็นพระวิปัสสนาจารย์ผู้ชำนาญคงจะมีหลักในการตัดสินของท่าน”
นอนลอยอยู่ในอวกาศ
หลังจากเข้าสังขารุเปกขาญาณไปแล้ว มีอยู่หลายครั้งที่ข้าพเจ้าเอนหลังพักผ่อนหลังเที่ยงประมาณ ๔๐ นาที ทันทีที่ศีรษะถึงหมอนแล้วหลับตาลง รู้สึกเหมือนมีพัดลมตัวใหญ่เป่าใส่แผ่นหลังอยู่ตลอดเวลา เป่าแรงขึ้นเรื่อยๆ จนตัวค่อยๆ ลอยขึ้นๆ ครั้งแรกลอยขึ้นเฉพาะขาทั้งสองข้าง แต่แผ่นหลังยังติดพื้นอยู่ แล้วอาการต่างๆ ก็ดับหายไป วันต่อๆ มาลอยขึ้นได้ทั้งตัว มีอยู่วันหนึ่งลอยไปในอวกาศเห็นดวงดาว และอุกกาบาตมากมาย บางครั้งเห็นภาพแปลก ยิ่งลอยไปไกลก็ยิ่งรู้สึกกลัวๆ เสียวๆ จากนั้นตัวก็ค่อยๆ หมุนลอยคว้างอยู่ในอวกาศ หมุนเร็วขึ้น ๆ ทั้งกลัวทั้งเสียวผสมกัน(บรรยายไม่ถูก..) จึงกำหนดในใจว่า “กลัวหนอๆๆ” เสียวหนอๆๆๆ” “รู้หนอๆๆ” เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา สักพักหนึ่งอาการหมุนก็ค่อย ๆ ช้าลง ๆ จนนิ่งแล้วเงียบไป รู้สึกตัวอีกที ตื่นจำวัด ตรงเวลาแทบทุกวัน คือ ก่อนบ่ายโมง ๕ นาที แล้วย้อนไปพิจารณาว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า คิดว่า น่าจะเกิดจากกำลังสมาธิที่สะสมมาอย่างต่อเนื่องกว่า ๑ เดือน ทำให้จิตและสภาวะธาตุในร่างกายรู้สึกเบาสบายมากว่า มิใช่ลอยไปในอวกาศจริงๆ และมีอยู่หลายครั้งเช่นกันที่รู้สึกเหมือนกับนอนตกลงไปในเหวลึก แผ่นหลังปะทะกับลมอยู่ตลอดเวลา ยิ่งตกไปลึกลมที่ปะทะแผ่นหลังก็ยิ่งแรงขึ้นเรื่อยๆ กำหนดในใจว่า “กลัวหนอๆๆ” เสียวหนอๆๆ” ตกไปนานเท่าไหร่ก็ไม่ถึงก้นเหวสักที ทำให้เกิดสติระลึกขึ้นมาว่า นี่ไม่ใช่เรื่องจริง เป็นเพียงสภาวะเบาสบายของธาตุลมเท่านั้น จากนั้นสภาวะต่าง ๆ ก็ค่อย ๆ หายไป รู้สึกตัวอีกที ตื่นก่อนบ่ายโมง ๕ นาที
ประมาณ ๒ เดือนต่อมา (รวมเป็น ๓ เดือน) คนแปลภาษาก็เฝ้าแต่จะถามว่า “ขณะนั่งอยู่มีอาการวูบไป ดับไปบ้างมั๊ย?” ก็ตอบไปว่า “มีนั่งโงกหลับบ้างในบางบัลลังก์ ส่วนมากจะนั่งมีสติดี ตัวตรง ไม่โงก ไม่ง่วงเลย บางบัลลังก์นั่งสว่างไสว สติคมชัดมาก” แต่มีเพื่อนหลายรูปส่งอารมณ์ว่า บัลลังก์นี้ดับไป ๑๐ นาที บัลลังก์นี้ ๒๐ นาที บางรูปดับไม่รู้ไป ๑ ชั่วโมงก็มี มีอยู่รูปหนึ่งบอกว่า นั่งได้สัก ๔-๕ นาทีแล้วลุกขึ้น หันไปดูนาฬิกาปรากฏว่า เวลาผ่านไปแล้ว ๑ ชั่วโมงกว่าแล้ว พอข้าพเจ้าได้ยินเช่นนั้นทำให้ต้องย้อนกลับมามองตนเองว่า ข้าพเจ้าถึงสังขารุเปกขาญาณ (ญาณ ๑๑) เป็นรูปแรก แต่ตอนนี้เขาล้ำหน้าไปไกลแล้ว ทำไมเรายิ่งนั่งยิ่งสว่างไสวกลางคืนเหมือนกลางวันอยู่ ไม่มีทีท่าว่าจะวูบ จะดับเลย พอย่างเข้าเดือนที่ ๔ ก็ทำให้รู้สึกท้อแท้ และเข้าใจเอาเองว่า ตนเองคงไม่มีบุญกับเขาหรอก ชาตินี้คงจะบรรลุมรรคผลไม่ได้ หรือไม่ก็คงปรารถนาพุทธภูมิเอาไว้ กำหนดเท่าไหร่รูป-นามสังขารธรรมก็ยังไม่ดับเสียที ทำให้คิดจะเลิกปฏิบัติอยู่หลายครั้ง พอเข้าเดือนที่ ๕ รู้สึกท้อมากจึงนำความไปเรียนสยาดอ ท่านก็พูดให้กำลังใจและบอกว่า ข้าพเจ้าผ่านนานแล้ว เมื่อได้ยินเช่นนั้น ข้าพเจ้าก็ดีใจแต่ก็ยังงงๆ เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะยังนั่งสว่างไสวไม่มีทีท่าว่าจะมีสภาวะรูปดับ-นามดับเลย และที่สำคัญกิเลส ราคะ โทสะ โมหะก็ยังมีอยู่เหมือนเดิม แต่อีกความรู้สึกหนึ่งก็ยอมรับอยู่ลึกๆ ว่า เดี๋ยวนี้มีสติคม และฉับไวกว่าเมื่อก่อนมาก ไม่ว่ากิเลสตัวไหนเกิดขึ้นจะกำหนดตัดได้ทันที ส่วนเรื่องที่ว่า ทุกสิ่งเป็นเพียง รูปนามนั้นถึงจะไม่อยากยอมรับ แต่ด้วยประสบการณ์ที่กำหนดรู้อย่างต่อเนื่องตลอด ๕ เดือนบอกว่า ไม่มีสภาวธรรมใดเลยที่ไม่ใช่รูป-นาม ถ้าไม่เป็นรูปก็เป็นนาม ถ้าไม่เป็นนามก็เป็นรูป ไม่มีสภาวะอื่นที่นอกเหนือไปจากนี้เลย อีกความรู้สึกหนึ่งแย้งอยู่ในใจว่า ที่เป็นเช่นนี้น่าจะเป็นเพราะอยู่ในช่วงปฏิบัติเข้ม ถ้าหากเลิกปฏิบัติไปแล้ว กิเลสตัณหาต่างๆอาจจะกลับมารุนแรงเหมือนเดิมก็ได้ แต่ในเมื่อสยาดอ บอกว่าผ่านแล้ว ก็เท่ากับว่าท่านเอาประสบการณ์กว่า ๓๐ ปีมาเป็นประกัน ข้าพเจ้าจึงเร่งความเพียรขึ้นไปอีก เดินจงกรม ๒ ชั่วโมง นั่งสมาธิ ๒ ชั่วโมงแทบทุกบัลลังก์ เพื่อจะเข้า…? พิสูจน์ให้ได้ว่าสภาวะญาณที่เกิดขึ้นเป็นของจริงของแท้หรือเปล่า..??
ฟังธรรมลำดับญาณ
ต้นเดือนที่ ๖ (๔ ธันวาคม ๒๕๔๙) สะยาดอ(ภัททันตะวิโรจนะ) พิจารณาเห็นว่า ข้าพเจ้า……………! ( อยากรู้ต้องปฏิบัติเอง…ครับ.?)
อาหารพาบรรลุธรรม
ขอย้อนไปเล่าเรื่องอาหารการกินของชาวท่าขี้เหล็กสักเล็กน้อย ผู้ปฏิบัติชาวไทยแทบทุกคน ช่วงปฏิบัติใหม่ ๆ มักมีปัญหากับเรื่องอาหาร แต่ยกเว้นข้าพเจ้า ไม่ว่าอะไร(อาหาร)ตั้งอยู่ตรงหน้า จะรู้จักชื่อหรือไม่รู้จักก็ตาม ข้าพเจ้าตักรวมใส่จานแทบทุกอย่าง จนล้นจาน แล้วฉันจนหมดเกลี้ยง ไม่ได้เอาท้องอิ่มเป็นประมาณแต่เอาอาหารที่ตักใส่จานแล้วเป็นประมาณ(กลัวเสียของ) ไม่ว่าอาหารนั้นจะอร่อยแค่ไหนหรือไม่อร่อยเลย ฉัน(รับประทาน)ได้หมด(เกลี้ยง) เหตุที่เป็นเช่นนี้ อาจเป็นเพราะข้าพเจ้าเคยรับประทานมาแล้วทั้งอาหารรสเลิศ ไม่รู้จักชื่อสักอย่าง มื้อหนึ่งประมาณ ๔-๕ พันบาท และอาหารกันตายอย่างข้าวเปล่าคลุกกะปิ รับประทานอยู่เกือบหนึ่งเดือนเต็ม แม้แต่ข้าวเปล่าคลุกเกลือก็เคยรับประทานมาแล้วประมาณ ๒ มื้อ โดยเฉพาะอาหารฝีมือโยมแม่ของข้าพเจ้าซึ่งท่านเคยเป็นแม่ครัวเปิดร้านอาหารมาก่อน ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกชินชากับอาหารรสเลิศมาตั้งแต่เยาว์วัย จึงอยากจะรับประทานอะไรที่แปลกแหวกแนวออกไปบ้าง…???
อาหารพื้นเมืองของที่นี่ส่วนใหญ่จะมีน้ำมันพืชผสมอยู่ด้วยเสมอ รสชาติไม่จัดจ้านเหมือนอาหารไทย จึงไม่ค่อยถูกปากผู้ปฏิบัติชาวไทยมากนัก แต่สำหรับผู้ปฏิบัติเข้มอย่างข้าพเจ้าและเพื่อนๆ พระนิสิตแล้ว เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหาเลย เพราะในระหว่างปฏิบัติคงไม่มีปัญหาไหนยิ่งใหญ่และสาหัสสากรรจ์ยิ่งไปกว่าการต่อสู้ให้ข้ามพ้นเวทนาญาณ ๒ ญาณ ๓ ไปให้ได้ ทำให้ปัญหาอื่น ๆ เป็นเรื่องรองไปทันที โดยเฉพาะข้าพเจ้าที่ต้องเดินจงกรมมาก ๆ เพื่อช่วยแก้สภาวะบนศีรษะ ทำให้ต้องใช้พลังงาน วิตามิน เกลือแร่ คาร์โบไฮเดรต และฟรุกโตสเป็นอันมาก ฉะนั้นไม่ว่าอะไรอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้าตักใส่จานหมดจนพูน แล้วฉันจนเกลี้ยง เมื่อผ่านไป ๓ เดือน มีอยู่วันหนึ่ง สยาดอก็เอ่ยขึ้นมาว่า “พระมันตเสวีเปลี่ยนไปแล้ว” แล้วท่านก็เงียบไปไม่พูดอะไรต่อ ข้าพเจ้าฟังแล้วรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก คิดว่าตนเองคงได้บรรลุขั้นใดขั้นหนึ่งแล้ว แต่ทันใดนั้นเอง คนแปล(โยมอ้วน)เสริมขึ้นมาทันควันว่า “ใช่!! เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ เปลี่ยนไปมากด้วย ตอนมาใหม่ๆ ตัวดำ ผอม เล็กนิดเดียว ตอนนี้อ้วนผิดรูปผิดร่างไปเลย เปลี่ยนไปมาก..”
ข้าพเจ้าฟังแล้วก็ให้รู้สึกเคือง ตอนแรกนึกว่าจะเป็นคำชม หน็อย..? มาหาว่าเราอ้วน เหมือนกับ..(ตัวเอง)? ฟังแล้วแทบรับไม่ได้ แต่ก็เกิดสติขึ้นฉับพลันจึงกำหนดในใจว่า “คิดหนอๆๆๆ” จนอาการดับไป แล้วยกแขนขึ้นดู “เออออ.. ก็คงจะจริงอย่างเขาว่า แต่ก็ไม่ถึงกับอ้วนนะ แค่อุดมสมบูรณ์ไปหน่อย แค่นั้นเอง..”
หลังจากนั้น ข้าพเจ้างดฉันเนื้อ(แดง)อยู่พักใหญ่ หวังจะให้หุ่น(รูปร่าง+น่าตา)กลับมาsmart หรือ handsome เพรียวลมอีกครั้งหนึ่ง พอ ๗ เดือนผ่านไป ผลที่ออกมาไม่ค่อยสมดั่งใจปรารถนามากนัก แต่ก็รู้สึกเฉย ๆ นึกเสียว่าทุกอย่างเป็นเพียงรูป-นาม เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยอยู่ตลอดเวลา ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น..
เรื่องอาหารการขบฉันนี้ ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับผู้ปฏิบัติวิปัสสนาที่หวังจะบรรลุมรรค ผล พระพุทธเจ้าจึงจัดไว้เป็น ๑ ในสัปปายะ ๗ เลยทีเดียว คือ อาหารสัปปายะ
สยาดอคอยบอกบ่อยๆ ว่า ต้องระมัดระวังในการขบฉัน ให้กำหนดกิริยาอาการต่าง ๆ อย่างจดจ่อต่อเนื่อง สามารถทำให้บรรลุธรรมได้เลยทีเดียว ยกตัวอย่างสามเณรรูปหนึ่งในสมัยพุทธกาล พระเถระเตือนบ่อยๆว่า “เวลาฉันให้ระวังลิ้นนะ เณรนะ” สามเณรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดจนได้บรรลุธรรมในที่สุด ข้าพเจ้าฟังแล้วก็รู้สึกเฉย ๆ ถึงเป็นเรื่องจริงก็เป็นเรื่องในสมัยพุทธกาล เมื่อ ๒ พันปีก่อนโน้นนนน.. คงเกิดขึ้นในยุคปัจจุบันไม่ได้เป็นแน่ จึงไม่ใส่ใจมากนักยังหลุดกำหนดขณะฉันอยู่เป็นประจำโดยเฉพาะวันที่มีเจ้าภาพเลี้ยงก๋วยเตี๋ยว พอคำแรกเข้าปากไปแล้ว ก็ลืมตัวไปเลยว่าตัวเองกำลังปฏิบัติวิปัสสนาอยู่ ไปรู้สึกตัวอีกที ตอนจะตักน้ำซุบซดช้อนสุดท้าย เพราะช้อนกระทบกับก้นถ้วยทำให้เกิดเสียงดัง จึงค่อยกลับมามีสติกำหนด “ตักหนอๆๆๆ” “ยกหนอๆๆๆ” “อ้า(ปาก)หนอๆๆ” “ใส่หนอๆๆ” “อมหนอๆๆ” “วางหนอๆๆ” “นิ่งหนอๆ” “กลืนหนอๆ”( เอื๊อก..!) ..เป็นเช่นนี้อยู่เป็นประจำ
หลังปฏิบัติวิปัสสนาเข้าเดือนที่ ๔ มีอยู่วันหนึ่ง สยาดอเล่าให้ฟังว่า “เมื่อหลายปีมาแล้ว มีพระพม่ารูปหนึ่งปฏิบัติวิปัสสนาอยู่นานก็ยังหลุดกำหนดในเวลาฉันอยู่เป็นประจำ ตอนตักใส่ปาก อม ก็ยังพอกำหนดได้ แต่พอตอนจะกลืนนี่สิ กลืนอัตโนมัติเป็นประจำ พยายามกำหนดเท่าไหรก็ไม่ได้สักที จนตนเองรู้สึกท้อแท้ จึงมาปรึกษาท่าน ท่านบอกไปว่า “เวลาฉันให้กำหนดจิตอยากด้วย จะทำให้กำหนดได้ดีขึ้น พระท่านนั้นก็ปฏิบัติตาม “อยากตักหนอ” – “ตักหนอๆๆๆ” – “อยากยกหนอ” – “ยกหนอๆๆๆ” – “อยากอ้าหนอ” – “อ้า(ปาก)หนอๆๆ” – “ใส่หนอๆๆ” – “อมหนอๆๆ” – “อยากวางช้อนหนอ” – “วางหนอๆๆ” – “นิ่งหนอ” – ” อยากกลืนหนอ” – “กลืนหนอๆ…” – “ลงหนอๆๆ” ปฏิบัติเช่นนี้เพียงไม่กี่วันก็เข้าถึงธรรมได้เลย”
ข้าพเจ้าได้ฟังถึงตอนนี้ หูชาไปข้างหนึ่งเลย ” เอ๊ะ.. นี่มันอะไรกัน ยุคนี้ยังมีพระโสดาบันอยู่อีกหรือ พระที่นั่งตรงหน้าเรารูปนี้ ท่านกำลังบอกว่า เคยสอนผู้อื่นให้บรรลุโสดาบันมาแล้วกระนั้นหรือ? ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่า ท่านก็ต้องเป็นพระโสดาบันเป็นอย่างน้อยละซิ..ท่านต้องเป็นพระอริยะอย่างแน่นอน ต้องเป็นแน่ๆ ถึงได้กล้าพูดเพียงนี้ ชัวร์.” หลังจากวันนั้นทำให้ข้าพเจ้ากลัวท่านมาก กลัวว่าท่านจะรู้วาระจิต รู้ว่าเรากำลังคิดอะไรอยู่ เพราะบางครั้งก็ยังเผลอคิดเรื่องไม่ดีไม่งามอยู่บ้างเหมือนกัน ขณะนั่งส่งอารมณ์แทบทุกครั้ง ก็จะนั่งกำหนด “คิดหนอๆๆ” ถี่ยิบ เพื่อป้องกันไม่ให้ความคิดที่ไม่ดีหลุดออกมา (เดี๋ยวจะเสียภาพพจน์พระนิสิตปริญญาโท)
แต่ยังมีหูอีกข้างหนึ่งที่ยังไม่ชา เพราะเกิดความคิดแย้งขึ้นมาว่า “พระรูปนั้นคงเป็นผู้มีบุญมาเกิด เราคงไม่มีบุญวาสนาถึงเพียงนั้นหรอก” แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากวันนี้เสียงช้อน จาน ชามที่ยังพอมีอยู่บ้างขณะฉัน เงียบกริบ..(ยังกะป่าช้า) ทำให้ข้าพเจ้านึกขบขันอยู่ในใจว่า “แต่ละคนคงอยากบรรลุกันน่าดู นั่งกำหนดกันถี่ยิบเชียว (แม้แต่เราก็ยังเป็นไปกับเขาด้วย)”
หลังจากวันนั้น ข้าพเจ้าก็พยายามกำหนดให้ละเอียดขึ้น แต่ไม่มากนัก ด้วยคิดว่าตนเองคงมีบุญวาสนาไม่ถึง
หลายวันต่อมา ได้ทราบข่าวแว่วๆ มาว่า พระที่ปฏิบัติอยู่ก่อนแล้ว ๒รูป ซึ่งปฏิบัติมาแล้ว ๙-๑๐ เดือน ได้ปฏิบัติสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ทำให้ข้าพเจ้าอยากบรรลุขึ้นมาบ้างอย่างจริงจัง แต่ก็เกิดความคิดขึ้นมารบกวนว่า “ก็สมควรแล้วที่จะสำเร็จ ปฏิบัติมาเกือบปีก็สมควรเสร็จได้แล้ว”
หลายวันต่อมาก็ได้ยินข่าวแว่วๆมาอีกว่า “เพื่อนพระนิสิตรูปหนึ่ง (ผู้ที่ติดอยู่ที่ญาณ ๓ นานมาก ข้าพเจ้าถึงญาณ ๑๑ แล้ว ท่านยังอยู่ที่ญาณ ๓ อยู่เลย) บัดนี้ท่านได้บรรลุญาณ ๑๖ เรียบร้อยแล้ว และกำลังขอสยาดอเข้าผลสมาบัติอยู่” พอข้าพเจ้าฟังถึงตรงนี้ หูอีกข้างหนึ่งที่ยังไม่ชากลับชาวูบวาบ ร้อนฉ่าขึ้นมาทันที (จะว่าอิจฉาก็ไม่ใช่ จะว่าน้อยใจตนเอง..ก็น่าจะใช่) นึกอยากบรรลุโสดาบันขึ้นมาอย่างจับใจ จากนั้น ข้าพเจ้าจึงเพิ่มกำลังกำหนดขึ้นไปอีก กำหนดถี่ยิบทั้งนอกบัลลังก์และในบัลลังก์ อิริยาบถที่เคยหลุด ๆ เผลอ ๆ กำหนดเก็บหมด ไม่พูดกับใครอยู่พักหนึ่ง หวังจะบรรลุโสดาบันให้ได้ แต่ผลที่ออกมากลับตรงกันข้าม นั่งบัลลังก์ไหนก็มีแต่สติที่คมชัด(เกินเหตุ) นั่งสว่างไสว ไม่โงกไม่ง่วงเลย ยิ่งปฏิบัติไปนานก็ยิ่งมีสติดี สติต่อเนื่อง ไม่มีทีท่าว่าจะดับ จะวูบเลย นานวันก็ยิ่งให้รู้สึกท้อแท้ และเหนื่อยล้า จนคิดจะเลิกปฏิบัติอยู่หลายครั้ง จึงบอกสยาดอให้ทราบ ท่านพูดให้กำลังใจและให้เห็นโทษภัยในวัฏสงสาร จึงตั้งใจปฏิบัติต่อไปอีก
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
หลังจากปฏิบัติเสร็จสมบูรณ์แล้ว ถึงแม้ข้าพเจ้าจะไม่มั่นใจในสภาวะของตนเองเต็ม ๑๐๐ % (เพราะยังมีจิตเคืองๆ และคิดดูหมิ่นปรากฏอยู่บ้างในบางครั้ง) แต่ก็เกิดความเชื่อมั่นขึ้นหลายประการ คือข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าพระอริยะโดยเฉพาะพระโสดาบันยังมีอยู่จริงในโลกปัจจุบันอย่างแน่นอน
เชื่อแน่ว่า ถ้ามีความตั้งใจในการปฏิบัติวิปัสสนาแบบกำหนดพอง-ยุบนี้ ทำให้บรรลุมรรค ผล ภายในระยะเวลาเพียง ๓-๔ เดือนได้จริง
ข้าพเจ้าเชื่อมั่นในผลการปฏิบัติของตนเองว่า ด้วยความรู้ ความสามารถที่ได้รับถ่ายทอดจากสยาดอ(ภัททันตวิโรจนะ) ในชาตินี้ ข้าพเจ้าสามารถสอนผู้อื่นให้บรรลุโสดาบันได้อย่างน้อย ๑ คน แน่นอน
สามารถกำหนดดับกิเลสต่าง ๆ และความนึกคิดต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้ดับลงได้อย่างฉับพลัน (ถ้าต้องการจะให้ดับ) เพราะก่อนจะมาปฏิบัติที่สำนักแห่งนี้ ข้าพเจ้าได้ชมภาพยนตร์จากเครื่องเล่นแผ่น C.D. เกือบ ๒๐๐ เรื่อง นั่งวิปัสสนา ๓ เดือนแรกไม่มีบัลลังก์ไหนเลยที่ไม่มีภาพเรื่องราวในภาพยนตร์มาปรากฏในจิต แต่พอปฏิบัติไปถึงเดือนที่ ๖ แทบไม่มีบัลลังก์ไหนเลยเช่นกันที่มีภาพเกี่ยวกับภาพยนตร์มาปรากฏในจิต วิปัสสนาล้างจิตและความคิดได้จริงๆ..
ถ้ามีผู้ถามข้าพเจ้าว่า ท่านบรรลุโสดาบันแล้วหรือยัง?
พระโสดาบัน
หลังปฏิบัติวิปัสสนาเสร็จสิ้น ๗ เดือนเต็ม จากที่ข้าพเจ้าได้คลุกคลีกับเพื่อนๆ หลายรูป ทำให้ข้าพเจ้ามั่นใจว่า หลายท่านได้บรรลุโสดาบันแล้วอย่างแน่นอน ทำให้เกิดความรู้สึกต่อความเป็นพระโสดาบัน ๓ ประการ คือ
๑. โสดาปัตติมรรค ทำได้เพียงประหารกิเลสที่เป็นเชื้อให้ไปตกอบาย คือมิจฉาทิฏฐิและวิจิกิจฉาเท่านั้น แต่กิเลสอื่นๆ ก็ยังมีอยู่ ฉะนั้นผู้ที่บรรลุโสดาบันก็ยังมี ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ โกรธเกลียดอยู่ บางคนมีมานะ ถือตัวยิ่งกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ เมื่อเปรียบเทียบกันคนทั่วๆ ไปแล้ว ต่างกันที่มีความสามารถในการดับกิเลสได้ฉับพลัน คือ ถึงจะโลภก็ไม่คิดจะขโมยของใคร ถึงจะโกรธก็ไม่คิดจะอาฆาตปองร้ายใคร เป็นต้น
๒. พระโสดาบัน ดูจากพฤติกรรมภายนอก แทบจะไม่ต่างจากคนทั่วไปเลย ต่างแต่จะเป็นคนใจบุญ และมีความเมตตาต่อทุกคน ในคัมภีร์ก็มีให้เห็นเป็นตัวอย่าง เช่น นางวิสาขา (มหาอุบาสิกาผู้ใจบุญ) ร้องไห้ฟูมฟายเมื่อหลานตาย จนพระพุทธเจ้าต้องตรัสเตือนสติ เป็นต้น
๓. พระโสดาบันที่เจริญวิปัสสนาล้วนๆ ไม่ได้เจริญสมถกรรมฐานควบคู่ไปด้วย จะไม่มีคุณวิเศษใดๆ เลย คือ ไม่สามารถทำนายกรรมได้ ไม่มีหูทิพย์ ตาทิพย์ เสกของไม่ขลัง ทำได้แต่ดับทุกข์ภายในจิตของตนเองเท่านั้น ถ้าต้องการให้ขลัง เสกเป่าคาถาอาคมได้ จะต้องฝึกสมถกรรมฐานเพิ่มเติมอีกที วิปัสสนาจะช่วยให้ฝึกสมถกรรมฐานได้ผลเร็วยิ่งขึ้น
อาล๊งตั๊ตวาดุย อะเมียะ อะเมียะ อะเมียะ ยูดอมูจ้ะปากงล่อ ตาดุ๊ ตาดุ๊ ตาดุ๊